หม่อมเจ้าการวิก

ใต้ร่มฉัตร เปิดเรื่องราวชีวประวัติ หม่อมเจ้าการวิก เจอผีมาร่วมฝึก…!(ตอนที่23)

หม่อมเจ้าการวิก
หม่อมเจ้าการวิก

หม่อมเจ้าการวิก กับเรื่องขนหัวลุก!

หม่อมเจ้าการวิก และกลุ่มสหายทหารเสรีไทยสายอังกฤษ ยังคงฝึกซ้อม และดำเนินไปอย่างเข้มข้น โดยต้องออกไปฝึกในป่า ครั้งหนึ่งได้ออกฝึกในบริเวณป้อมร้างบนเขา  ทั้งคณะก็เจอดีเข้าให้…

ผมขอย้อนเล่าถึงแนวคิดและวิธีฝึก การรบแบบกลุ่มกองโจร ที่ทางการทหารอังกฤษใช้สอนทหารอังกฤษและเสรีไทย ด้วยแนวคิดนี้ไม่ใช่เป็นของใหม่ที่ฝรั่งคิดขึ้น เพราะในประวัติศาสตร์ไทยสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้ทรงใช้กองโจรมาแล้ว จนทรงกู้เอกราชของชาติมาได้

ต่อมา ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ที่มีทหารพม่ายกทัพเข้ามาถึง 9 ทัพ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสีหนาทก็ทรงจัดกองโจรออกไปตัดการลำเลียงเสบียงของพม่าจนกองทัพพม่าอ่อนแออดอยาก และถูกทัพไทยโจมตีแตกพ่ายไป

สำหรับแนวคิดนี้มาจากพลจัตวาวิงเกท (WINGATE) ซึ่งใช้ได้ผลดีมาแล้วในปาเลสไตน์และอะบิสซีเนีย พลเอกเวเวล (WAVELL) แม่ทัพใหญ่ในอินเดียเมื่อปีพ.ศ.2485 จึงมอบให้วิงเกทฝึกการรบแบบนี้แก่ทหารอังกฤษในกลางปีนั้น และได้ยึดการฝึกนั้นเป็นแบบอย่างตลอดมา ได้แก่ การใช้อาวุธ การอ่านแผนที่ การส่งวิทยุ การล้วงความลับ การหาทิศทาง การดำรงชีพในป่า การฝึกเดินทางวันละถึง 50-60 กิโลเมตร โดยวิงเกทได้เน้นความสำคัญของอาหารฉุกเฉินสำหรับกินในป่าเป็นพิเศษ

หม่อมเจ้าการวิก หม่อมหลวงจีรายุ อรุณ สรเทศน์

นักโภชนาการได้ทดลองทำอาหารชุดพิเศษ เพื่อให้มีคุณค่าทางอาหารครบถ้วนและพวกเราก็ได้เป็นหนูทดลองกับอาหารชุดนี้เช่นเดียวกับกองโจรของวิงเกทและหน่วยคอมมานโดอื่นๆที่เคยฝึกอยู่หลายหน อาหารชุดนี้เรียกว่า 7 DAY RATIONซึ่งเมื่อได้กินจริงๆ แล้วไม่กี่วันก็แทบกลืนไม่ลง ส่วนประกอบของอาหารชุดนี้มี 1. ข้าวสาร 1 ถุง (ข้าวโอ๊ตสำหรับฝรั่ง ข้าวเจ้าสำหรับชาวเอเชีย) 2.ข้าวผัดญี่ปุ่น 1 กระป๋อง 3. ไข่ผง 1 ถุง 4.มันฝรั่งแห้ง 1 ถุง 5.หอมหัวใหญ่แห้ง 1 ถุง 6.ขนมปังแห้ง (ทุกคนพร้อมใจเรียกว่า ‘ขนมปังหมา’) 2 ห่อ 7.หมูกระป๋อง 1 กระป๋อง 8.เนื้อกระป๋อง 1 กระป๋อง 9.เนยแข็ง 1 กระป๋อง 10.น้ำตาล 1 ถุง 11. แอลกอฮอลสำหรับใช้จุดหุงต้ม 12.ใบชาอัดเม็ด 13.เกลือเม็ด

อาหารชุดพิเศษนี้กะว่ากินได้ในหนึ่งสัปดาห์ อาจจะเพิ่มปริมาณได้ตามความเหมาะสม และกำลังกายที่จะแบกสะพายเป้ร่วมกับสัมภาระอื่นๆ โดยเฉลี่ยพวกเราจะสะพายได้หนักประมาณ 12-15 กิโลกรัม คนที่แข็งแรงหน่อย เช่น ภีศเดช ประทาน และผม สะพายได้ถึง 18-20 กิโลกรัม

สภาพป่าเบลกอมที่ผมเห็นในตอนนั้น ต้นไม้ดูไม่มากเท่าเมืองไทย ลำธารก็มีน้อยกว่า (แต่เดี๋ยวนี้ป่าบางแห่งในเมืองไทยอาจจะแย่กว่าที่อินเดีย) เดินทั้งวันก็ไม่เจอแหล่งน้ำ มีอยู่ครั้งหนึ่งไปเจอหนองน้ำที่วัวลงไปนอนแช่ น้ำขุ่นเป็นโคลน ครูฝึกสั่งให้ตักมาทั้งโคลน ทดลองเอายาเม็ดสีขาวๆใส่แล้วเขย่า แถมรับรองว่าดื่มได้ไม่มีเชื้อโรคแน่ ผมลองดื่มดูรู้สึกรสชาติพิลึก

การทดลองกินอาหารชุดยังชีพที่ว่านี้เท่าที่จำได้ คือ ข้าวผัดญี่ปุ่นประกอบด้วยข้าวผัดน้ำมันโรยถั่วนิดหน่อย เหยาะเกลือป่น พริกไทย มีวิญญาณหมูเล็กน้อยอัดใส่กระป๋อง รสเลี่ยนมาก กินมื้อเดียวก็เอียนแย่แล้ว ขนมปังนั้นเหนียวแข็ง ต้องอมให้เปียกน้ำลายนานๆถึงจะพอเคี้ยวกลืนได้รสชาติบ้าง ด้วยเหตุนี้จึงเรียกว่า ‘ขนมปังหมา’ เนยแข็งที่มีก็ไม่ใช่เนยชนิดดี ลองกินดูไม่ไหวฝืดคอ ผมลองเอาดาบปลายปืนแหยไปที่กองไฟให้ร้อน เอาเนยวางพอละลายก็เอาเข้าปาก รู้สึกอร่อยขึ้นมาบ้าง แต่แค่มื้อเดียวก็อืด เหลือฝังดินทิ้งไว้ตั้งหลายก้อน แบกไปหนักเปล่าๆ เดินไปสักครึ่งวันแล้ว อะไรที่หนักหนึ่งกิโลก็เหมือนกับหนักสิบกิโล…

การจะหุงข้าวต้องรอให้ทางผู้นำกลุ่มบอกว่าสถานการณ์ในวันนั้นปลอดภัยจากข้าศึกแน่ถึงจะจุดแอลกอฮอลแท่งวางกระทะสี่เหลี่ยมเล็กๆหุง มิฉะนั้นควันที่เกิดจากการหุงข้าวจะลอยขึ้นเป็นสัญญาณนำให้ข้าศึกมาหา และเกลือก็ใช้กินเพื่ออุ้มน้ำในร่างกาย เพราะหาแหล่งน้ำยาก เวลาเดินกันเหนื่อยๆจนน้ำลายเหนียวขมปาก น้ำชาใส่น้ำตาลดูจะเป็นสิ่งวิเศษที่สุด ทำให้ชุ่มคอแก้กระหายน้ำได้ดี

หม่อมเจ้าการวิกและหม่อมเจ้าจีริดนัย กิติยากร ที่อินเดีย

ระหว่างที่ฝึกอยู่ในป่า มีอยู่วันหนึ่งครูฝึกสั่งให้พวกเราเข้าป่าตามลำพังเป็นคู่ๆ แต่ละคู่จะมีเข็มทิศเดินไปในทางที่กำหนด ขณะที่เดินไปต้องใช้มีดบากต้นไม้เป็นเครื่องหมายสำหรับตอนเดินกลับโดยไม่ใช้เข็มทิศ เดินสักสามชั่วโมงครูก็ปล่อยให้เดินกลับตามลำพังและกำชับว่า ถ้าคู่ไหนหลงทางให้ยิงปืนเป็นสัญญาณเป็นระยะ พวกที่อยู่ค่ายจะยิงปืนให้สัญญาณตั้งแต่พลบค่ำ ปรากฏว่าก่อนห้าโมงเย็นทุกคนกลับถึงค่ายกันหมด ยกเว้นคู่ของประโพธกับธนา

ตลอดคืนนั้นพวกเราไม่ได้ยินเสียงสัญญาณปืนจากทั้งคู่จนอดเป็นห่วงไม่ได้ เพราะสัตว์ร้ายในป่าอินเดียขณะนั้นยังมีอยู่มากและฝนก็ตกทั้งคืน รุ่งขึ้นพวกเราจึงออกเดินป่ากันตามหา เหลือเฝ้าค่าย 3 คน เผื่อทั้งคู่กลับมา แต่ก็ไม่พบร่องรอย จนกระทั่งราวห้าโมงเช้า ทั้งสองถึงเดินโผเผหน้าตาซีดเซียวกลับมา เล่าเรื่องการหลงป่า ผจญภัยกับสัตว์ป่าทั้งช้างและเสือจนต้องขึ้นไปนอนบนต้นไม้ยามดึกให้ฟังคร่าวๆ และหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย

ในที่สุดสองสัปดาห์แห่งความทรหดในป่าเบลกอมก็สิ้นสุด วันสุดท้ายพวกเราเหลือแต่อาหารกระป๋องและอาหารชุดพิเศษนั้น ระหว่างที่อยู่ในป่า แม้หมู่บีทสัน แนะนำให้เอาใบไม้หลายชนิดมาทดลองต้มหรือแกงกินกันบ้าง แต่ไม่มีอะไรอร่อยเลย หลังอาหารเช้าพวกเราเก็บสัมภาระขึ้นรถทหารของหน่วยยานยนต์ที่เมืองอาหมัดนากาส่งมารับ แต่เราไม่แวะที่ตัวเมือง มาขึ้นรถไฟที่บอมบ์เบย์กลับค่ายเลย ซึ่งประสบการณ์การฝึกในป่านี้ มีอีกหลายเรื่อง แต่จะเล่าทั้งหมดเกรงจะยืดยาวเกินไป เพราะมีการฝึกประเภทอื่นที่เราต้องพบอีกหลายอย่าง

เรื่องหนึ่งเป็นการซ้อมรบที่ผมยังจดจำถึงเหตุการณ์นั้นได้ดีทั้งที่เคยฝึกมาสารพัดอย่าง คือ คราวหนึ่งทศได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้ากลุ่มโจมตีป้อมร้างบนเขาสิงหะ จากตีนเขาขึ้นไปบนเขาถึงป้อมประตูด้านซ้ายมือของประตูเป็นซีกที่มีระดับสูงกว่าด้านขวามือ และมีเชิงเทินสำหรับสังเกตการณ์ ทางลาดเขาโดยรอบมีกำแพงชันทุกด้าน ทางด้านขวามือของประตูมีตอนหนึ่งที่ฝ่ายจู่โจมสามารถปีนขึ้นไปได้ไม่ลำบากนัก

ครูฝึกเล่าว่า ป้อมนี้ชาวบ้านกลัวกันนักเชื่อว่าเป็นป้อมผีสิง เพราะสมัยโบราณป้อมนี้เคยถูกโจมตี หลังจากที่ทหารฝ่ายชนะตีแตกแล้วก็กินเหล้าฉลอง และขี่ม้าลงเขาจนตกเขาตายหมดเพราะความเมา วันดีคืนดีชาวบ้านมักจะได้ยินเสียงควบม้ากุบกับๆบนทางขึ้นป้อมตอนราวๆเที่ยงคืน ทั้งที่ในย่านนั้นไม่มีใครเลี้ยงม้าเลย

คืนที่พวกเราเลือกซ้อมรบเป็นคืนข้างขึ้น ราวๆ 5-6 ค่ำ จึงมีแสงจันทร์ข้างขึ้น ไม่ถึงกับมืดสนิท ประมาณสี่ทุ่มกว่าทศมอบหมายให้ผมไปทำลับๆล่อๆทางด้านซ้ายของประตูกำแพง เพื่อหลอกให้พวกเราส่วนหนึ่งที่นำโดยสำราญ ซึ่งถูกสมมุติว่าเป็นพวกตั้งรับอยู่ในป้อมเข้าใจผิดว่าพวกเราจะซุ่มโจมตีทางนั้น

ในบริเวณที่ผมอยู่นั้นเป็นที่ที่เดียวกับทหารโบราณที่ควบม้าเคยตีได้โดยให้เอาเชือกผูกคอ ‘ตะกวด’ ที่เลี้ยงไว้ เอาอาหารล่อให้มันปีนขึ้นไป แล้ววิ่งวนรอบๆต้นไม้ให้คนไต่เชือกขึ้นไปได้ ผมก็นึกว่าลองเป็น ‘ตะกวด’ ดูสักทีเถอะ ก็โยนเชือกเหนี่ยวตัวขึ้นไปได้ (ตอนที่ผมยังคอยอยู่แถวนั้นเป็นเวลาใกล้เที่ยงคืนแล้ว ผมได้ยินเสียงกุบกับ กุบกับๆน่ากลัวจนขนลุกเลย ขนาดหัวล้านยังรู้สึกผมมันตั้งได้)

พอปีนข้ามไปแล้วนึกว่าจะยึดป้อมได้ ปรากฏว่ายังมีกำแพงสูงขนาดตึก 1 ชั้น ที่ปีนไม่ได้เพราะผิวเรียบไม่มีที่จะเกาะเหนี่ยวตัวขึ้นได้ พวกผมอีก 5-6 คนรอสังเกตการณ์อยู่แถวนั้น สักพักเห็นร่างดำๆตัวล่ำใหญ่ปีนขึ้นข้ามไป พวกเราต้องหันมามองหน้ากัน…ก็อยู่กันครบ…ทีแรกนึกว่าเป็นประทานผู้แข็งแรงที่สุด แต่เอ๊ะ! เขายังอยู่ตรงนี้

แล้วนั่นใคร ขณะที่กำลังงงกัน ก็มีเสียงปืนยิงกันเปรี้ยงๆๆๆ

ยิงกันครู่ใหญ่ก็มีเสียงเป่านกหวีดปรี๊ด…ครูฝึกที่สังเกตการณ์อยู่ข้างอาคารหลังกลางออกมาห้ามทัพ จุดตะเกียงเพิ่มขึ้นพอมีแสงที่จะเห็นหน้ากันได้ ถึงตอนนี้ทุกคนงง เพราะต่างฝ่ายต่างก็นึกว่าอยู่ใกล้กันพอที่จะเห็นเงาตะคุ่มๆ แต่แท้จริงแล้วทั้งสองฝ่ายยังไม่ได้เคลื่อนที่เข้าหากันเลย ครูฝึกก็แปลกใจ ซักไซ้ไล่เรียงกันก็ไม่ปรากฏว่ามีใครปีนขึ้นบนกำแพง

ถ้าเช่นนั้น ใครมาร่วมซ้อมรบอีกคนล่ะ พวกเราหลายคนยืนยันว่าเห็นร่างคนปีนกำแพงแล้ววิ่งไปทางประตู  ความจริงแล้วไม่น่าจะมีใครกล้าที่จะปีนขึ้นไปวิ่งบนกำแพง เพราะเสี่ยงที่จะตกลงไปด้านนอกของกำแพงและกลิ้งตกเขาไป เรื่องนี้น่าแปลกใจจริงๆ

เสียงกุบกับที่ได้ยิน พอออกไปสำรวจพื้นที่ทีหลังเห็นวัวบางตัวของชาวบ้านที่ต้อนออกไปไม่หมดหลงอยู่แถวนั้น เวลามันเดินกระทบกับก้อนหิน ก็คิดว่าอาจเป็นเสียงเหมือนม้าเดิน ยิ่งเป็นตอนกลางคืนเงียบมากเสียงก็ยิ่งก้อง แต่เสียงที่ได้ยินเหมือนคนควบม้ากันเป็นสิบๆตัว ส่วนร่างดำนั้น ถ้าผมเห็นคนเดียวก็อาจคิดว่าเป็นจินตนาการของผมเอง แต่นี่เห็นกันหลายคน ผมจึงพยายามนึกไปเสียว่า อาจเป็นลูกหลานของ ‘ตะกวด’ ที่ยังหลงเหลืออยู่แถวนั้นปีนขึ้นกำแพงก็ได้

หม่อมเจ้าการวิกและปัทม์ ปัทมสถาน
หม่อมเจ้าการวิก ทรงชุดทหารเมืองร้อน ฉายที่แอฟริกาใต้

อีกเรื่องหนึ่งเป็นการซ้อมรบครั้งใหญ่ที่ผมต้องจดจำไปอีกนาน เพราะเป็นการซ้อมรบระหว่างพวกคอมมานโดกับพวกเราที่เป็นกองโจร และเป็นการซ้อมรบที่ทดสอบ ‘ความอึด’ อย่างสาหัส จุดหมายในการซ้อมครั้งนี้คือ ต้องไประเบิดทางรถไฟและท่อน้ำใหญ่ในป่าเขตเมืองมหาพลอิศวร หรือมาฮาเบลชวาร์ (MAHABLESHWAR) อยู่ห่างจากปูนาไปทางใต้ราว 150 กิโลเมตร และพวกเราต้องเดินตลอดทาง โดยจัดอาหารให้พอกินสำหรับ 4 วัน ซึ่งก็ไม่พ้นอาหารชุดพิเศษ

ในฐานะที่ผมได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้า ก็ขนผลไม้กระป๋องใส่เป้ไปไว้เป็นอาหารทิพย์ที่เคยให้หลวงภัทรฯในเรือ หนักร่วม 20 กิโลกรัม รวมกับน้ำหนักตัวเองก็กว่า 100 กิโลกรัม การที่ต้องเดินทางไกลนานถึงสามวันสามคืนเพื่อปฏิบัติการ จึงเป็นภาระที่หนักที่สุดที่เราเคยผ่านมา

ในวันที่สามหลังจากการเดินตลอดคืน เท้าผมจึงเริ่มพองและเจ็บมาก แต่โชคดีที่มาเจ็บเอาตอนใกล้ที่หมายแล้ว ขณะที่ทุกคนกำลังเหน็ดเหนื่อยอ่อนเปลี้ยจนเริ่มอยากจะด่าแม่กัน น้ำลายขมเหนียวยืด เหงื่อแห้งกรังติดเสื้อเป็นเกล็ด ผมก็เปิดกระป๋องลูกพีชแช่อิ่ม ที่ผมสู้อุตส่าห์แบกมา เอาช้อนตักป้อนให้คนละคำ ทุกคนแทบจะยกมือไหว้ผมด้วยความซาบซึ้งใจ

นี่เป็นเคล็ดลับอีกอย่างหนึ่งที่ผมยอมเสียสละเหงื่อแบกน้ำหนักเกิน เดินจนเท้าพอง เพื่อผูกใจทุกคนให้ร่วมปฏิบัติการด้วยดี โดยไม่บ่นสวดมากนัก ซึ่งก็ได้ผลตามที่คาด

ปรากฏว่าการปฏิบัติการวางระเบิดตามที่หมายนั้น พวกเราระดมกำลังใจอย่างเต็มที่ จนสามารถทำสำเร็จในเวลา 72 ชั่วโมง ทำลายสถิติพวกหน่วยคอมมานโด ที่เคยทำไว้ประมาณ 82-84 ชั่วโมง ทำให้คณะครูฝึกชื่นชมผลงานของพวกเราอย่างยิ่ง

การฝึกซ้อมของพวกเรายังไม่สิ้นสุด กว่าที่จะถูกส่งเข้ามาปฏิบัติการในเมืองไทยนั้น ยังมีการฝึกที่น่าตื่นเต้น และเป็นครั้งหนึ่งในชีวิตที่พวกเราต้องเผชิญอย่างไม่เคยคิดมาก่อน

 

 

 

 

 

 

Praew Recommend

keyboard_arrow_up