กันน์ - สรวิศ The Face Men Thailand

หนุ่มมาดกวนชวนน่ากิน “กันน์ – สรวิศ” ดีกรีเชฟนักเรียนนอก ก่อนมาเป็นนายแบบ The Face Men Thailand

กันน์ - สรวิศ The Face Men Thailand
กันน์ - สรวิศ The Face Men Thailand

เพิ่งจะออนแอร์เทปแรกไปเมื่อวันเสาร์ที่ 29 กรกฎาคม 2560 รายการ The Face Men Thailand ก็เล่นกับกระแสได้ถูกจุดอีกแล้ว เพราะหลังจากจบรายการ ไม่ใช่ว่าจะตีประเด็นดราม่าว่าใครเชียร์ทีมใครเหมือนที่ผ่านมา แต่กระแสของบรรดาหนุ่มๆ ที่มาร่วมออดิชั่นคัดเข้าทีมเมนเทอร์นั้นรุนแรงเหลือเกิน

ประสบความสำเร็จกันตั้งแต่เทปแรกเลยทีเดียว สำหรับรายการเรียลิตี้ที่ถูกจริตเก้งกวางบ่างชะนีอย่าง The Face Men Thailand มีหนุ่มๆ หน้าตาดี หุ่นฟิตเฟิร์ม แถมยังโปรไฟล์เริดมาให้เลือกเพียบ ซึ่งหนึ่งในผู้เข้าแข่งขันที่ถูกจับตามองอย่างมากก็คือ หนุ่มกันน์ – สรวิศ แสงวณิช ที่ได้เข้าไปอยู่ทีมพีช

จากโปรไฟล์ เขาบอกว่าเคยเดินแบบที่เกาหลี แต่รู้ไหมว่า แพรวดอทคอมเคยฉกตัวหนุ่มคนนี้มาสัมภาษณ์พร้อมกับพี่ชายของเขาตั้งแต่สมัยที่เพิ่งกลับมาเมืองไทยด้วยซ้ำ ซึ่งในตอนนั้นสเตตัสของหนุ่มคนนี้ที่หลายคนรู้จักคือ เป็นเชฟหนุ่มรุ่นใหม่ อนาคตไกล และจบจากเมืองนอก

กันน์ - สรวิศ The Face Men Thailand

เล่ามาซะขนาดนี้ มาดูบทสัมภาษณ์คู่ของเขาและพี่ชายกันอีกสักรอบ บอกเลยว่าหนุ่มกันน์เขางานดีมีสไตล์มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แถมพี่ชายก็ดูดีไม่แพ้กันเลย

กันน์ - คริส แสงวณิช
เชฟคริส พี่ชายคนโตอาสาเล่าถึงเส้นทางในอดีตที่กว่าจะมาเป็นเชฟว่า “ผมลาออกจากโรงเรียนตอน ม.5 เพราะอยากหาอะไรที่สามารถเป็นอาชีพได้ทำ จึงเลือกทำอาหาร เพราะผมชอบดูรายการทำอาหาร มีความคิดว่าอยากจะทำร้านมาตั้งนานแล้ว เลยออกจากโรงเรียน ย้ายไปฝึกทำขนมที่โรงแรม JW Marriott ได้สักพักก็ย้ายไปอยู่ Four Seasons ยอมรับว่าตอนแรกมีปัญหากับที่บ้าน แต่ผมบอกเขาไปว่าขอทำสิ่งนี้ให้ดีที่สุดก่อน ถ้าไม่ไหวจริงๆ หรือผมไม่ได้ชอบจริงๆ อย่างน้อยเราก็มีเวลากลับไปเรียนทัน ด้วยความที่รู้ว่าเขาเสียใจ ผมจึงพยายามทำเต็มที่

“หลังจากทำงานที่ Four Seasons ผมก็ตัดสินใจย้ายไปอยู่นิวยอร์กตอนอายุ 17 ปี ไปคนเดียวเลย เพราะอยากเจออะไรที่ท้าทาย โดยเริ่มทำงานในร้านอาหารฝรั่งเศสระดับมิชลินสตาร์กับเชฟขนมที่ดังที่สุดในนิวยอร์กตอนนั้น เรียกว่าไปถึงก็ทำทุกอย่างเลยครับ แล้วก็ย้ายร้านไปเรื่อยๆ ทำมาตลอดจนตำแหน่งเริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ชีวิตถือว่าลำบากไม่มาก เพราะทางบ้านคอยซัพพอร์ตอยู่ ทั้งเรื่องค่าหอ ค่าอะไรต่างๆ แต่เงินที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวันเราหาเองทั้งหมด”

กันน์ น้องชายคนเล็กขอเล่าบ้าง “หลังจากที่คริสไปอยู่นิวยอร์กได้ 9 เดือน ผมก็ตามไปเรียนไฮสกูลที่นั่น พอปิดเทอมแรกผมจึงขอไปฝึกงานร้านที่คริสทำอยู่ เริ่มจากการฝึกทำขนมก่อน แต่ทำไปสักพักเริ่มรู้ตัวเองว่าไม่ชอบ เลยไปคุยกับเชฟว่าขอลองทำอาหาร รู้สึกว่าตื่นเต้นกว่า เขาก็ให้ลองทำ ผมเรียนรู้การทำอาหารจากการฝึกงานทั้งหมด

“พอรู้ว่าเราชอบทางนี้ เลยตัดสินใจคุยกับที่บ้านว่าไม่ขอเรียนต่อมหาวิทยาลัยนะ เขาก็เสียใจมาก เพราะผมเรียนค่อนข้างดี อยากให้เรียนต่อมากกว่า เราก็พยายามบอกเขาว่าเราชอบทำอาหารมากกว่า เรียนไปก็ไม่ได้ใช้อยู่ดี ขอทำอาหารได้ไหม แล้วผมจะทำให้ดีที่สุด ที่สุดทางบ้านก็โอเคครับ”


คริส – ธนกฤต แสงวณิช

ทำไมถึงเลือกที่จะไม่เรียนทำอาหารล่ะคะ

คริสอธิบาย “โดยส่วนตัวผมว่าเป็นสิ่งที่เสียเวลามากกว่าครับ ผมเชื่อว่าการทำอาหารก็เหมือนการเรียนรู้ด้วยตัวเอง คือต้องทำไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็จะรู้เองว่าต้องทำอย่างไรมากกว่า การเทคคอร์สคือเราเรียนทุกอย่างจากหนังสือ แต่พอทำครั้งเดียวเดี๋ยวก็ลืม ผมจึงเรียนรู้จากการทำงานมากกว่า อยู่ที่โน่นผมทำงาน 6 วันเต็ม วันละ 12 – 13 ชั่วโมงจนเป็นเรื่องปกติครับ”

กันน์เสริม “อยู่ที่โน่นเราต้องทำงานหนัก เพราะแรงกดดันค่อนข้างสูง มาตรฐานก็สูงด้วย เราต้องตามเขาให้ทัน ไม่อย่างนั้นจะเป็นจุดอ่อนทันที แล้วเราเป็นคนเอเชียด้วย จึงต้องแสดงให้เขาเห็นว่าเราสามารถทำได้ดีไม่แพ้คนประเทศเขา เริ่มตั้งแต่เตรียมวัตถุดิบ หั่นผัก เนื้อสัตว์ ฯลฯ แล้วค่อยขยับมาทำสลัดกับซุป แล้วก็พวก Appetizer ได้อยู่ทุกตำแหน่งในร้าน ผมใช้เวลา 1 ปีกว่าจะทำให้เชฟเชื่อใจให้เราได้มาทำอาหาร แล้วการยืนวันละ 12 ชั่วโมงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่ดีตรงที่เวลาจะผ่านไปไวมาก รู้สึกว่าก้มหน้าทำอาหารไม่ทันไร เงยหน้ามาก็เที่ยงคืนแล้ว”

 

มีเด็กไทยไปทำงานร้านอาหารที่นิวยอร์กเยอะไหมคะ

คริสพยักหน้ารับ “ช่วงนี้เยอะมากครับ เหมือนเป็นเทรนด์มากกว่า ผมเคยเจอหลายคนเหมือนกันที่คิดว่าตัวเองทำได้ แต่ในที่สุดก็ไม่อึดพอ เพราะอยู่ในครัวมันเหนื่อยมากจริงๆ อย่างแรกเลยต้องทนกับแรงกดดัน เพราะเชฟเขาไม่สนใจหรอกว่าคุณจะมีปัญหาส่วนตัวอะไร แต่มาที่ทำงานคุณต้องทำให้เต็มที่ เพราะการเป็นกุ๊กก็เหมือนการเป็นหุ่นเชิดให้เชฟ ต้องทำตามคำสั่งทุกอย่าง ผมเคยเจอเชฟเขวี้ยงกระทะหรือไม่ก็ขนมปังใส่ บางคนตะโกนด่าเลย ซึ่งเด็กไทยบางคนโดยเฉพาะพวกลูกคุณหนูก็จะรับไม่ได้ ร้องไห้ แล้วเลิกทำเลย แต่ผมไม่ค่อยรู้สึกอะไรอยู่แล้วครับ เพราะเจอจนชิน” (หัวเราะ)

กันน์ - สรวิศ The Face Men Thailand กันน์ - สรวิศ

กันน์แชร์ประสบการณ์ “ผมก็เคยเจอเหมือนกัน บางทีก็ปาหม้อใส่แล้วด่า ผมก็ทำใจอย่างเดียวเลย เราต้องพยายามทำให้ดีขึ้น เพื่อที่จะไม่ให้เขาด่า แล้วผมว่าเป็นเรื่องดีนะที่เห็นคนอยากเข้ามาอยู่ในวงการอาหารมากขึ้น เพราะโดยส่วนตัวผมรักในอาชีพนี้มาก อยากเห็นคนได้ดีในอาชีพนี้ ถ้าสมมติผมรู้จักใครที่อยากไปทำงานเมืองนอกแล้วช่วยเขาได้ ผมก็อยากจะช่วยเขา วัยรุ่นมาทำก็เป็นเรื่องดี ลองดูครับ เพราะจากประสบการณ์ผม 3 คนที่เข้ามาในครัว มี 2 คนที่ยอมแพ้ แล้วเด็กที่จบมาจากโรงเรียนทำอาหารที่เมืองนอก 10 คนก็เหลือแค่ 2 คนเท่านั้น เลยพูดยากครับ”

ชีวิตหนุ่ม New Yorker ที่โน่นเป็นอย่างไรบ้างคะ

คริสสารภาพ “ตอนอยู่นิวยอร์กผมทำงานเลิกตี 1 ตี 2 จากนั้นก็จะเที่ยวถึง 6 โมงเช้าทุกวัน เข้างานเที่ยง ผมทำแบบนั้นอยู่ประมาณ 1 – 2 ปี ตั้งแต่อายุ 17 – 18 ปี เลยรู้สึกว่าตัวเองเที่ยวมาทุกอย่างแล้ว ซึ่งการเที่ยวที่นิวยอร์กสนุกกว่าเมืองไทยแน่นอน เพราะไม่ต้องขับรถ ทำให้เราสุดได้เต็มที่ เพราะไม่มีใครรู้จักเรา แต่นั่นก็ทำให้ไม่มีเงินเก็บเลย ร่างกายก็เริ่มแย่ บางทีทำงานได้ไม่เต็มที จึงเริ่มรู้ตัวเองว่าควรจะพอได้แล้ว พอกลับมาเมืองไทยผมรู้สึกอยากทำงานมากกว่า ไม่รู้สึกว่าอยากเที่ยวอีกเลย”

กันน์เล่าขำๆ “สิ่งหนึ่งที่ผมชอบในนิวยอร์กคือ ถึงคุณจะรวยแค่ไหน แต่ถ้าทัศนคติคุณไม่ดีก็ไม่มีใครเอา อย่างถ้าไปเที่ยวบาร์ ต่อให้ยัดเงินใส่การ์ดที่ยืนเฝ้าหน้าประตูเยอะขนาดไหน ถ้าเขาไม่ถูกโฉลกคุณก็ไม่ได้เข้า ในขณะที่บางคนแค่รองเท้าสวยก็ได้เข้าแล้ว แค่นั้นเลย”

กันน์ - คริส แสงวณิช

แล้วมาเปิดร้านอาหารที่เมืองไทยได้อย่างไรคะ

คริสอาสาเล่าเอง “ผมว่าเป็นโอกาสดีที่ผมได้โลเกชั่นที่ห้างดิ เอ็มควอเทียร์ หลังจากนั้นผมคุยกับน้องชายว่าจะกลับมาทำหรือเปล่า ตอนแรกก็คิดว่าตัวเองยังไม่พร้อม ควรรออีกสัก 5 – 10 ปีก็ได้ แต่ด้วยความที่วีซ่าผมก็ใกล้จะหมดแล้ว บวกกับอะไรหลายๆ อย่าง จึงตัดสินใจกลับมาเปิดร้านที่เมืองไทย โชคดีที่ทางบ้านคอยซัพพอร์ต แล้วก็มีหุ้นส่วนด้วย จึงได้มาทำ

“ผมเพิ่งจะกลับมาอยู่เมืองไทยได้ประมาณ 6 เดือน ช่วงระหว่างนั้นก็เริ่มเซตระบบทุกอย่างภายในร้าน ยอมรับว่ายากครับ เพราะเคยทำอยู่แต่ในโรงแรม แล้วก็ไม่เคยทำงานกับคนไทยมานานมากแล้ว พอได้มาลองทำจริงๆ เหนื่อยมาก ปัญหาก็เยอะ แต่ตั้งใจจะผ่านมันไปให้ได้ จนร้านเปิดเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา”

กันน์รับช่วงต่อ “คริสเขาดูเองตั้งแต่การตกแต่ง คุยกับทางอินทีเรียร์ว่าอยากได้แบบไหน แล้วก็เลือกซื้อเครื่องครัวเองทั้งหมด ตั้งแต่แผ่นรองจาน แผ่นรองโต๊ะ แก้ว จาน ชาม ฯลฯ ส่วนผมมีหน้าที่ทำฟู้ดเทสติ้ง ซึ่งแต่ละเมนูต้องทำหลายรอบกว่าจะได้เมนูที่ดีที่สุด เพราะรสชาติที่ผมทำแรกๆ จะเป็นแนวฝรั่งมาก ก็ต้องปรับให้ถูกปากคนไทยมากที่สุด

“ได้เรียนรู้ในสิ่งที่ไม่เคยทำ แล้วเราก็ได้ลองทำงานที่อยู่ในบัดเจ็ตจริงๆ ซึ่งถ้าเป็นที่เมืองนอก ร้านที่เป็น Fine Dining เขาไม่สนใจเลยว่าของที่ใช้จะแพงขนาดไหน ใส่ไปไม่อั้น หรือถ้ามีของอะไรเสียก็ดีดนิ้วสั่งใหม่ เพราะปีหนึ่งเขาทำเงินได้เยอะมาก แต่พอมาเปิดร้านเอง แค่จะซื้อตู้เย็นใหม่ยังคิดแล้วคิดอีกเลย”

กันน์ - คริส แสงวณิช

คริสเล่าบ้าง “แต่ผลตอบรับโดยรวมถือว่าดีนะครับ ผมแฮ็ปปี้นะ แต่ยังไม่ถึงขั้นหายเหนื่อย เรียกว่าโล่งใจมากกว่า จริงๆ ก็ยังอยากเหนื่อยต่อไป เพราะผมชอบทำงาน อย่างทุกวันนี้ผมมีครัวกลางอยู่ที่สุขุมวิท 31 เลยต้องตื่น 7 โมงเช้าเข้าไปเช็กของ ทำออร์เดอร์ เตรียมของ 9 โมงเช้า แล้วก็มาส่งที่นี่

“หลักๆ ผมจะเน้นทำขนมมากกว่า แต่ก็จะดูเรื่องอาหารด้วยเหมือนกัน เพราะบางทีกันน์จะมีความคิดที่ค่อนข้างโดดไปนิดนึง แล้วคนไม่เข้าใจ ผมก็พยายามดึงกลับมาว่าควรจะทำแบบนี้ไหม น่าจะขายได้มากกว่า ตอนนี้เราต้องเน้นขายให้ได้ก่อน”

เชฟกันน์ขอระบายความในใจ “ต่อให้เราคิดว่าอร่อยแค่ไหน แต่ถ้าลูกค้ากินแล้วไม่อร่อยก็จบ เราไม่สามารถทำให้ทุกคนกินอาหารจานนี้แล้วรู้สึกอร่อยได้เหมือนกันหมด บางคนมาขอซอสปรุงเพิ่ม ผมก็โอเค ไม่ได้มีอีโก้ว่าต้องกินแบบที่ผมปรุงเท่านั้น ผมเน้นความสุขของคนกินเป็นหลักครับ”

คริส – ธนกฤต แสงวณิช

ได้แรงบันดาลใจในการคิดค้นเมนูจากไหนบ้างคะ

กันน์เผยเคล็ดลับ “การคิดค้นสูตรอาหารของผมลักษณะเหมือนเป็นใยแมงมุมครับ จับอันโน้นอันนี้มาโยงกัน แล้วดูว่าเข้ากับอะไรได้บ้าง การทำอาหารก็เหมือนการทดลอง ลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ ครับ คือถ้าผมทำให้คนล้างจานกับคนที่กินอาหารระดับมิชลินสตาร์มาแล้วทั่วโลกชอบได้ นั่นหมายความว่าต้องขายได้ ผมว่าอาหารก็วนไปวนมา ทุกอย่างที่อร่อยก็ทำไปหมดแล้ว อยู่ที่ว่าเราจะเลือกหยิบจับหรือนำอะไรมาใช้มากกว่า”

คริสเองก็มีความเห็นไม่ต่างกับน้องชาย “ส่วนใหญ่ทั้งอาหารและขนม ผมจะได้แรงบันดาลใจมาจากอาหาร ขนม หรือสิ่งที่เราไปกินมาตามที่ต่างๆ บางทีอาจจะมาจากซอกหลืบที่เกาหลีหรือรถเข็นที่กรุงเทพฯ ขนมที่ผมทำก็มาจากสิ่งที่ผมชอบในวัยเด็ก เช่น ขนมปังปิ้งราดนมข้น โอวัลติน แล้วนำมาประยุกต์ใช้มากกว่า บางสูตรก็ทำได้เลย แต่บางทีทำให้ตายอย่างไรก็ออกมาไม่อร่อย เราก็ไม่ทำ”

อาหารฝีมือกันน์ - สรวิศ The Face Men Thailand

ตั้งแต่เปิดร้านมา ที่บ้านว่าอย่างไรบ้างคะ

กันน์เล่าด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ก็แฮ็ปปี้นะครับ แต่เขาจะออกแนวเป็นห่วง เพราะพวกผมทำงานตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืนแบบนี้มา 3 เดือนแล้ว ไม่ได้กลับบ้านเลย นอนคอนโดตลอด แต่ผมแฮ็ปปี้ที่จะทำ เขาก็คงแฮ็ปปี้ เพราะเขาก็อยากให้เราประสบความสำเร็จ”

กันน์ - สรวิศ The Face Men Thailand

พักเรื่องอาหาร ถามถึงไลฟ์สไตล์ส่วนตัวทั้งคู่บ้างดีกว่า เวลาว่างทำอะไรกันบ้างคะ

คริสตอบ “อาชีพเราคือสร้างความสุขให้คนอื่นผ่านอาหาร แต่เอาจริงๆ ความสุขของผมที่สุดคือการนั่งกินอาหารที่คนอื่นทำให้เรา ไม่จำเป็นว่าต้องอร่อยก็ได้ ว่างๆ ผมจะชอบกินอาหารข้างทางมากๆ ครับ (หัวเราะ) แม้จะชิมอาหารดีๆ มาเยอะ แต่ท้ายที่สุดผมก็อยากกินแค่ก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่กับหอยทอดอร่อยๆ แค่นั้นเอง”

กันน์ - สรวิศ แสงวณิชกันน์ - สรวิศ แสงวณิช
เห็นว่าเป็นคู่พี่น้องที่ชื่นชอบแฟชั่นมาก

คริสอมยิ้ม ยอมรับแบบเขินๆ “คือเพื่อนส่วนใหญ่เป็นคนในครัว ในขณะเดียวกันผมก็มีเพื่อนเป็นคนในแวดวงแฟชั่นด้วย ก็แปลกดีครับ ผมว่าอาหารกับแฟชั่นมาด้วยกัน เพราะอาหารเป็นสิ่งมีชีวิตที่เปลี่ยนไปตามฤดูกาล ไม่ต่างจากแฟชั่นที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ส่วนสไตล์ผมจะออกแนวเนี้ยบ เพราะผมรู้สึกว่าตัวเองใส่เสื้อเชิ้ตแล้วจะดูเท่กว่าเสื้อยืด”

กันน์อธิบายเพิ่ม “สไตล์เราค่อนข้างต่างกันชัดเจน ผมออกแนวสตรีท แล้วพอกลับมาเมืองไทย บังเอิญมีเพื่อนชวนไปเดินแบบ ถ่ายแบบบ้าง ก็สนุกดีครับ

“แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่เราสบายใจที่สุดก็คือการอยู่ในครัวมากกว่าครับ”

 

เรื่อง : apinya

ภาพ : เนาวพจน์, @krissaeng, @gunnswis

 

บทความนี้ถือเป็นทรัพย์สินของเว็บไซต์แพรว ห้ามผู้ใดนำไปคัดลอก ดัดแปลง หรือทำซ้ำ อนุญาตให้แชร์บทความนี้ได้จากลิงก์นี้เท่านั้น

Praew Recommend

keyboard_arrow_up