Romantic Route

เปิดเส้นทางโรแมนติกที่จะทำให้ทริปนี้มีแต่ความรัก ROMANTIC ROUTE @AUSTRIA & SWITZERLAND

Romantic Route
Romantic Route

Romantic Route ณ สวิตเซอร์แลนด์และออสเตรีย สองประเทศซึ่งมีพรมแดนติดกัน มีหลายสิ่งหลายอย่างคล้ายกันมาก ตั้งแต่สภาพภูมิอากาศ เป็นประเทศที่ไม่มีทางออกทะเล มีจำนวนประชากรแปดล้านกว่าใกล้เคียงกัน ภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นเทือกเขาสูง (เทือกเขาแอลป์) และทะเลสาบ โดยประชากรต่างสร้างบ้านเรือนเรียงรายไปตามเชิงเขาและริมทะเลสาบ ก่อให้เกิดทัศนียภาพที่สวยงามยิ่ง

Romantic Route

คราวนี้ผมจะชวนท่านผู้อ่านไปขับรถเที่ยวใน Romantic Route เส้นทางถนนลอยฟ้าสองสายบนยอดเขาสูงที่มีทิวทัศน์สวยงามตระการตา โดยถนนสองสายนี้ต่างมีชื่อเสียงติดอันดับได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั่วโลก ถนนเส้นหนึ่งอยู่ในออสเตรีย ส่วนอีกเส้นอยู่ในสวิตเซอร์แลนด์ครับ

Romantic Route

Start @Austria

เราเริ่มต้นเส้นแรกในประเทศออสเตรียกันครับ ถนนนี้ชื่อว่า กรอสกล็อคเนอร์ ไฮ อัลไพน์ (Grossglockner High Alpine Road) มีระยะทางราว 50 กิโลเมตร สร้างตั้งแต่ปี ค.ศ. 1935 ได้รับการยกย่องว่าเป็นเลิศในด้านวิศวกรรมมาจนปัจจุบัน ถนนบนยอดเขากรอสกล็อคเนอร์เปิดให้ใช้ผ่านได้ตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคมจนถึงสิ้นเดือนตุลาคม ตั้งแต่ เวลา 6 โมงเช้าถึง 2 ทุ่ม แต่ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศในวันและเวลานั้นๆ ด้วย ถ้าเป็นวันที่อากาศไม่ดี มีพายุหิมะ ด่านเก็บเงินค่าผ่านทางก็อาจปิด ทำให้ขึ้นไปไม่ได้ ทั้งนี้ผู้ใช้ทางก็ต้องทำใจในกรณีที่มาถึงแล้วเจอด่านปิด (ด่านเก็บเงินค่าผ่านทางตั้งขวางถนนอยู่) ซึ่งจะเก็บเงินค่าผ่านทางรวมกัน ทั้งรถ คนขับ และผู้โดยสาร

เมื่อจ่ายเงินแล้วจะได้รับตั๋วพร้อมเอกสารแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ บนเส้นทางซึ่งพิมพ์อย่างดี แต่จากประสบการณ์ของผมกว่าสิบครั้งที่เดินทางมาเที่ยวที่นี่ ไม่เคยเจอทางปิดเลย มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่ผมต้องจอดรถรออยู่ตรงหน้าด่าน รอเวลาเจ้าหน้าที่เคลียร์ถนนเปิดเส้นทางอยู่นานพอสมควร เนื่องจากมีพายุหิมะตกหนักในตอนกลางคืน

กรอสกล็อคเนอร์ (Grossglockner High Alpine Road)
ถนนทางขึ้นยอดเขากรอสกล็อคเนอร์ในเดือนตุลาคม

ถนนเส้นนี้เริ่มต้นจากปากทางแยกถนนใหญ่สาย 311 ที่เมืองบรูค (Bruck) เรื่อยไปจนสุดทางบรรจบกับสาย 100 ที่เมืองลินซ์ (Lienz) โดยระหว่างทางมีทางแยกให้แวะไปเยี่ยมชมธารน้ำแข็งและยอดเขาสูงกรอสกล็อคเนอร์ ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในออสเตรียได้ด้วย

เมื่อเราขับรถมาจากเมืองบรูคจนถึงด่านเก็บเงินนั้น สภาพถนนมีลักษณะเป็นถนนเล็กๆ ผ่านกลางหุบเขาสูงที่มีสีเขียวเข้มด้วยป่าสนหนาทึบสองข้างทาง จนเมื่อผ่านด่านเก็บเงินไปแล้ว ถนนจะค่อยๆ ลาดชันสูงขึ้น แต่ไม่มากจนทำให้รถมีอาการอืด นับเป็นความฉลาดของวิศวกรผู้สร้างทางที่ทำถนนไว้ไม่ให้ชันมาก ป้องกันปัญหารถอาจลื่นไถลหากเจอกับหิมะบนถนนเมื่อขับขึ้นไปสูงๆ บนยอดเขา

รถผมค่อยๆ ไต่ความสูงของภูเขาอย่างช้าๆ ขึ้นไปไม่เร็วนัก ตลอดสองข้างทางยังคงมืดครึ้มไปด้วยป่าไม้ทึบ จนเมื่อขึ้นสูงต่อไปอีกสักพัก พ้นโค้งใหญ่เบื้องหน้าแล้ว ถึงจะมองเห็นยอดเขาใหญ่สีขาวโพลนดูเด่นเป็นสง่า โดยมียอดเขาบริวารดูสูงต่ำลดหลั่นกันไป โดยต่างถูกหิมะปกคลุมจนขาวไปทั่วเช่นกัน ทุกยอดที่เห็นอยู่เบื้องหน้านั้นสว่างขาวโพลนจากหิมะ แถมสว่างเพิ่มขึ้นอีกจากแสงแดดที่สาดส่องลงมาช่วยสะท้อนความขาวนั้นให้วาววับจับตายิ่งขึ้น น่าแปลกที่จากด้านล่างนั้นเราจะมองไม่เห็นยอดเขาสูงใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่ จนกว่าจะพ้นโค้งที่กล่าวมาแล้ว และไม่ว่าที่เชิงเขาด้านล่างอากาศจะมืดครึ้มสักเพียงใด พอขึ้นมาถึงจุดนี้เป็นเจอแดดส่องสว่าง ทำให้เกิดความสวยงามสุดจะบรรยายเช่นนี้ทุกครั้ง (ความสูงตรงจุดนี้เกินกว่า 2 กิโลเมตร)

ตลอดระยะทางกว่า 50 กิโลเมตรบนยอดเขากรอสกล็อคเนอร์จัดที่จอดรถข้างทางไว้ให้จอดชมวิวได้ตลอดทาง ทั้งยังจัดให้มีศูนย์แสดงประวัติความเป็นมาของอุทยานแห่งชาติแห่งนี้ รวมถึงแสดงพันธุ์สัตว์และพืชพรรณที่มีอยู่บนยอดเขา ซึ่งยอดเขานี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาแอลป์ ที่ทอดตัวยาวกินพื้นที่หลายประเทศเป็นระยะทางนับพันกิโลเมตร

ถนนบนยอดเขากรอสกล็อคเนอร์นี้ยังมีถนนทางแยก เพื่อให้ผู้ที่ประสงค์จะใชัเป็นทางลัดเดินทางต่อไปยังเมืองอื่นได้ โดยไม่จำเป็นต้องย้อนกลับทางเดิม (มีด่านเก็บเงินตั้งขวางอยู่เช่นกัน) แต่ในครั้งนี้ผมจะขับต่อไปจนสุดทาง เพื่อชมธารน้ำแข็งกับยอดเขากรอสกล็อคเนอร์อย่างใกล้ชิด สภาพถนนช่วงนี้จะเป็นถนนบนเขาสูง ต้นไม้ใหญ่จึงมีให้เห็นน้อยลง มองไปทางไหนเห็นแต่เหวลึกและทะเลภูเขากับความขาวของหิมะบนยอด บางจุดมีน้ำตกเล็กๆ ที่เกิดจากการละลายของหิมะอยู่ข้างทาง รวมถึงเหวด้านข้างเบื้องล่างไกลลึกลงไปลิบๆ มีเขื่อนขนาดใหญ่พอสมควรตั้งอยู่ น้ำในเขื่อนนั้นเป็นสีเขียวใสสวย

เพลิดเพลินกับทิวทัศน์สองข้างทางและแวะจอดถ่ายรูป รวมถึงช็อปปิ้งในร้านขายของที่ระลึกบนจุดชมวิวที่มีหลายแห่งไปไม่นาน ถนนก็นำมาถึงยอดเขากรอสกล็อคเนอร์และธารน้ำแข็ง (เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในออสเตรีย มีความสูง 3,798 เมตร) ที่จอดรถบนยอดเขาตรงนี้เป็นที่จอดรถในร่ม ไม่เก็บค่าจอด มีที่ให้จอดได้มากพอ ผมจอดรถและลงไปเดินชมวิวกันท่ามกลางความหนาวเหน็บ ตรงจุดนี้มีร้านอาหารเล็กๆ รวมถึงร้านขายของที่ระลึกด้วย

ธารน้ำแข็งฟรานซ์โจเซฟ (Franz Josef Glacier)
ธารน้ำแข็งฟรานซ์โจเซฟ

ตรงจุดชมวิวธารน้ำแข็งแห่งนี้ ถ้าใครอยากลงไปสัมผัสธารน้ำแข็งในแบบใกล้ชิด ก็สามารถลงลิฟต์ที่มีบริการอยู่ตรงนั้นไปสัมผัสความหนาวเย็นของธารน้ำแข็งได้ แต่ผมไม่เคยลงไปครับ เนื่องจากผู้ที่จะลงไปเดินบนน้ำแข็งนั้นควรจะสวมใส่เสื้อผ้า รวมถึงรองเท้าที่มีความหนาเป็นพิเศษ อีกทั้งอากาศบนยอดเขาสูงบริเวณนี้ค่อนข้างหนาวจัดและลมพัดแรงมาก สำหรับท่านที่จะไปขับรถเที่ยวบนถนนเส้นนี้ สามารถเลือกบรรยากาศได้ว่าอยากได้แบบไหน ระหว่างหิมะ ขาวๆ ฟูๆ บนถนนเปียกๆ (เดือนพฤษภาคม – มิถุนายน) หรือป่าไม้มีสีเหลืองและสีแดงสวยงามมาก แต่บนถนนจะแห้ง ไม่มีหิมะแล้ว (เดือนกันยายน – ตุลาคม)

โอเบอราล์ปพาส (Oberalp Pass)
ทิวทัศน์จากจุดชมวิวโอเบอราล์ปพาส

เข้าสู่ Switzerland

ตามผมไปกันต่อบนถนนสาย 19 ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ระยะทางราว 160 กิโลเมตร มีชื่อว่า ฟัวร์คาพาส (Furka Pass) เป็นถนนลอยฟ้าบนเทือกเขาสูง มีความสูงถึง 2.5 กิโลเมตรเหนือระดับทะเล เป็นถนนที่ได้รับการกล่าวขานจากนักขับรถทั่วโลกถึงความสวยงามของทิวทัศน์ระหว่างทางที่ดูสวยแปลกตา ปนไปกับความน่าหวาดเสียวของเหวลึกด้านข้างถนน

The Gletscher Belvedere Hotel
โรงแรมบนยอดเขา (The Gletscher Belvedere Hotel)

ถนนฟัวร์คาพาสสายนี้เคยใช้เป็นฉากหนึ่งในภาพยนตร์แอ๊คชั่นสายลับสุดยิ่งใหญ่ของฮอลลีวู้ด เรื่อง เจมส์ บอนด์ 007 ตอน โกลด์ฟิงเกอร์ นำแสดงโดยดาราพระเอกต้นตำรับของ เจมส์ บอนด์ คือ ฌอน คอนเนอรี่ เส้นทางของถนนสาย 19 นี้เริ่มจากเมืองใหญ่บนเส้นทางนี้ คือ เมืองคัวร์ (Chur) ไปจนถึงเมืองบริก (Brig) มีความสำคัญมาก เนื่องจากเป็นเส้นทางลัดเชื่อมระหว่างภาคตะวันออกและภาคตะวันตกของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มิเช่นนั้นต้องขับรถอ้อมขึ้นไปจนถึงทางเหนือของประเทศ เสียทั้งระยะทางและเวลาเพิ่มขึ้นอีกมากทีเดียว

ถนนลอยฟ้าบนเขาสูงชนิดที่มีชื่อต่อท้ายว่า Pass นั้น มีอยู่บนถนนหมายเลข 19 เส้นนี้ให้เราได้ผจญภัยถึง 2 แห่งทีเดียว นั่นคือ โอเบอราล์ปพาส (Oberalp Pass) ระยะทางสั้นกว่าและมีความสูงน้อยกว่า (2,046 เมตร) โดยจะถึงก่อน เมื่อเดินทางมาตามทิศทางจากเมืองคัวร์ กับถนนฟัวร์คาพาส (2,436 เมตร) ถนนซึ่งนักท่องเที่ยวผู้นิยมการขับรถส่วนใหญ่จากทั่วโลกฝันจะมีโอกาสมาขับรถบนเส้นทางนี้ เพื่อสัมผัสความหวาดเสียวและชื่นชมทัศนียภาพที่สวยแปลกตากันสักครั้งหนึ่งในชีวิต

Romantic Route

ถนนสาย 19 เส้นทางนี้จะมีรถไฟขบวนพิเศษที่เรียกว่า Car Shuttle Train คอยวิ่งให้บริการขนส่งรถยนต์และรถอื่นๆ วิ่งลอดอุโมงค์รถไฟใต้ภูเขาแห่งนี้ในช่วงเวลาที่ถนนปิด (เพราะหมดฤดูร้อน) อยู่ 2 ช่วง คือ บนโอเบอราล์ปพาส ระหว่างสถานีเซดรุน (Sedrun) ถึงสถานีแอนเดอร์แมตต์ (Andermatt) กับอีกช่วงหนึ่งอยู่บนฟัวร์คาพาส ระหว่างสถานีเรียล์ป (Realp) ถึงสถานีโอเบอร์วาลด์ (Oberwald) ทำให้นักเดินทางสามารถใช้เส้นทางสัญจรได้ตลอดทั้งปี แม้แต่ในฤดูหนาวที่มีหิมะตกหนัก

สถานีรถไฟเรียล์ป (Realp Railway Station)
หน้าสถานีรถไฟเรียล์ป

จากทางแยกที่เมืองคัวร์ เราขับตามป้ายบอกทางมาเพียงไม่กี่กิโลเมตร แล้วแยกออกจากทางออโต้บาห์น ตรงนี้ถนนเริ่มจะเล็กลงเหลือเพียงสองเลน และค่อยๆ ไต่ขึ้นสู่เขาสูง เริ่มคดเคี้ยวลัดเลาะไปตามภูเขาแล้ว เพียงแต่ยังไม่มากเท่าไรนัก ถือเป็นโอกาสวอร์มอัพเตรียมความพร้อมและสมาธิให้ดี ก่อนจะเข้าสู่ถนนลอยฟ้าอันแรกของเส้นทางโอเบอราล์ปพาส ผ่านสถานีรถไฟที่เมืองเซดรุน จากนั้นวิ่งต่อไปไม่ไกล ถนนจะลดระดับความสูงลงเข้าสู่เมืองแอนเดอร์แมตต์ เมืองนี้ก็มีความสำคัญมากเช่นกัน เนื่องจากเป็นทางแยกของจุดตัดเชื่อมระหว่างภาคเหนือกับภาคใต้ และภาคตะวันออกกับภาคตะวันตกของสวิตเซอร์แลนด์

ถนนออโต้บาห์นสายใหญ่สาย A2 วิ่งมาจากเมืองบาเซิลและลูเซิร์นนั้น มาสุดที่ยอดเขาสูงใหญ่ตรงเมืองนี้ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นอุโมงค์ลอดใต้ภูเขาสูงชื่อ เซนต์กอตธาร์ด (St. Gotthard) ซึ่งสร้างไว้ให้ใช้ได้ทั้งรถยนต์และรถไฟ (แยกช่องอุโมงค์กัน) อุโมงค์สำหรับรถมีความยาวเกือบ 17 กิโลเมตร ครองตำแหน่งอุโมงค์รถยนต์ยาวเป็นอันดับ 3 ของโลก ในขณะที่อุโมงค์รถไฟเพิ่งสร้างเสร็จไม่นาน มีความยาวกว่า 57 กิโลเมตร พร้อมกับได้ชื่อว่าเป็นอุโมงค์สำหรับรถไฟที่ยาวที่สุดในโลก (ออโต้บาห์น A2 สายนี้วิ่งลงใต้ต่อไปจนถึงเมืองมิลานในอิตาลี)

เมื่อพ้นออกจากเมืองแอนเดอร์แมตต์ไม่ไกล ถนนก็จะไต่กลับขึ้นเขาสูงอีกครั้ง เริ่มเข้าสู่ช่วงแรกของถนนลอยฟ้าฟัวร์คาพาส ถนนบนเขาช่วงนี้ดูค่อนข้างแคบและคดเคี้ยว (แต่กว้างพอให้รถใหญ่แล่นสวนทางกันได้) ขับเรื่อยต่อไปจนถึงเมืองเรียล์ป ที่มีสถานีรถไฟขบวนพิเศษคอยให้บริการสำหรับนักเดินทางที่ไม่อยากขึ้นไปเสียวบนถนนลอยฟ้าฟัวร์คาพาส กับในช่วงของการปิดเส้นทางเมื่อหมดฤดูร้อน เพราะจะมีน้ำแข็งปกคลุมจนถนนใช้งานไม่ได้ ด้วยการบรรทุกรถยนต์และรถอื่นๆ ขึ้นรถไฟขบวนพิเศษ พาวิ่งลอดอุโมงค์ฟัวร์คาใต้ภูเขาสูงแห่งนี้ไปจนถึงสถานีโอเบอร์วาลด์ ซึ่งพ้นเขตถนนลอยฟ้าฟัวร์คาพาสแล้วนั่นเอง

แอนเดอร์แมตต์ (Andermatt)
ลงเขาไปยังเมืองแอนเดอร์แมตต์

ถนนเส้นนี้เมื่อพ้นออกจากเขตเมืองเรียล์ปแล้ว ยังคดเคี้ยวไต่ขึ้นสูงต่อไปอีกระยะหนึ่ง จึงไปถึงจุดสูงสุดบนเส้นทางในระดับความสูงเกือบ 2.5 กิโลเมตรเหนือระดับทะเล แล้วจึงเปลี่ยนเป็นทางราบวิ่งเลียบลัดเลาะไปตามโค้งเขา โดยมีด้านหนึ่งเป็นผนังของภูเขาสูง กับอีกด้านหนึ่งเป็นเหวลึกมาก มองเห็นด้านล่างอยู่ไกลลิบๆ ชวนเสียวสุดๆ

ภาพของเทือกเขาสูงตระหง่านสีน้ำเงินเข้มสลับซับซ้อน มีสีขาวของหิมะปกคลุมอยู่บนยอดทอดตัวเรียงรายโดยรอบด้านนั้น บอกเลยว่าถ้าไม่รู้สึกกังวลกับเหวลึกด้านข้างถนนแล้ว การขับรถบนเส้นทางฟัวร์คาพาสนี้จะเป็นการขับรถที่สร้างความสุขและเพลิดเพลินมากทีเดียว แต่จะมัวเพลินกับวิวสวยงามรอบตัวมากนักก็ไม่ได้ ถ้าอยากชมวิวสวยๆ นี้ชัดๆ หรืออยากถ่ายรูปเมื่อไร มองหาที่จอดตรงจุดที่เขาทำไว้ให้ดีกว่าครับ

สกีติดล้อ (Roller Skis)
Roller Skis หรือสกีติดล้อ คือกีฬายอดนิยมของชาวสวิส

ผมขับต่อเรื่อยไป จนเมื่อพ้นจากสถานีรถไฟโอเบอร์วาลด์ซึ่งตั้งอยู่ด้านล่างของฟัวร์คาพาสแล้ว ถนนก็ลดระดับลาดลงสู่พื้นราบครับ ทั้งนี้ท่านขับรถกลับทิศทางกันกับที่กล่าวมาแล้ว (โดยเริ่มจากเมืองบริก) ต้องใช้เวลาขับรถอยู่ชิดขอบถนนทางด้านที่เป็นเหวลึกนานมากกว่าขับมาทิศทางนี้ อีกอย่างที่สำคัญมากคือ ไหล่ทางของถนนช่วงนี้ไม่มีราวเหล็ก กันรถตกถนน (Barrier) กั้น มีแต่เพียงแท่งหินแกรนิตสี่เหลี่ยมปักอยู่ห่างๆ เป็นระยะเท่านั้น

จากประสบการณ์ของผมที่เคยขับทิศทางนี้มาแล้ว บอกตามตรงว่าเวลาเจอรถใหญ่แล่นสวนทางมาแต่ละครั้งนั้นเสียวสุดๆ เลยครับ ถนนสาย 19 นี้เปิดให้วิ่งช่วงเดือนตุลาคมถึงต้นเดือนมิถุนายน และถนนลอยฟ้าช่วงบนยอดเขาสูงของฟัวร์คาพาสและโอเบอราล์ปพาสจะปิด โดยผู้ใช้ทางต้องนำรถของตัวเองไปเสียเงินขึ้นบนรถไฟซึ่งวิ่งลอดอุโมงค์ใต้ภูเขาเพื่อเดินทางต่อ แทนการขับรถไปบนยอดเขาสูงเอง

ท่านใดสนใจก็ลองมาขับตามเส้นทางที่ผมแนะนำได้ครับ

 

เรื่องและภาพ : นิตยสารแพรว ฉบับที่ 915

 

 

 

Praew Recommend

keyboard_arrow_up