ต่อจากนี้ยืนด้วย“หัวใจ”หาใช่แต่ยืนด้วย“สองขา”แล้ว“ให้พ่อได้พัก”กับ 7ทศวรรษที่ยาวนาน…

หลายครั้งที่เรามักจะปล่อยเบลอสายตาหากเข้าสู่โหมดโฆษณากดสคริปต์ข้ามกดเปลี่ยนช่องหรือแม้กระทั่งเปิดมันอยู่อย่างนั้นแต่ปิดโหมดการรับรู้ทางสมองของตัวเราเอง

และนี่ก็เป็นอีกคลิปหนึ่งที่หลายคนอาจไม่ได้ดูให้จบตั้งแต่แวบแรกที่เห็นเพราะเข้าใจว่าคือโฆษณา แต่จริงๆ แล้วมันเป็นหนังสั้น 3 นาทีสตอรี่ที่จะบอกเล่าเรื่องราวที่แสนล้าลึกและมีคุณค่ายิ่งในการเตือนสติประชาชนชาวไทย…

กับคำถามว่า ทำไมเราต้องยืนเคารพเพลงสรรเสริญพระบารในโรงภาพยนตร์
หลายคนอาจดูไม่จบเพราะคิดว่ามันเป็นเพียงแค่โฆษณาขณะที่บางคนกว่าจะได้กลับมาลองดูอีกทีคือตอนที่กระแสแชร์สนั่นน้ำตาไหลจุกอกกันทุกหมู่เหล่า

กว่าเราจะตระหนักรู้ถึงเหตุผลที่เราต้องยืน… กว่าเราจะ “ใส่ใจ” ว่าการลุกขึ้นยืนนั้นแท้จริงแล้ว “ยืนด้วยหัวใจ” หาใช่แต่ “ยืนด้วยสองขา”

9-2

คลิปหนังสั้นเทิดพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ถ่ายจ าลองเหตุการณ์ในโรงภาพยนตร์นี้จึงเหมือนกับเพื่อนสนิทที่เดินเข้ามาเคาะกะโหลกเราดังๆ เตือนสติเพื่อให้เราได้หยุดบางอย่าง เพื่อใส่ใจบางสิ่งที่อาจหลงลืมไป

เช่นลืมเหตุผลว่าทาไมก่อนหนังฉายเราต้องยืนเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมี

หลายครั้งที่เห็นภาพในเหตุการณ์จริงซึ่งไม่ผิดเพี้ยนไปจากคลิปหนังสั้นเทิดพระเกียรตินี้เลย…แล้วรู้สึกแอบโกรธนะ ได้แต่โกรธในใจเงียบๆว่าทาไมบางคนแค่ยืนเพราะต้องยืน…ลุกยืนขึ้นแบบเอื่อยๆแต่จะรีบนั่งอย่างไวแม้โน้ตเพลงตัวสุดท้ายยังไม่ทันจบดีและแม้หน้าจอยังปรากฏตัวอักษรแสดงความจงรักภักดีอยู่

9-3

ซึ่งในเวลาเช่นนั้นก็ได้แต่แอบโกรธเงียบๆในใจ…ก็ทำได้แค่นั้นเพราะเราไม่สามารถจะไปบอกให้คนอื่นยืนด้วยความใส่ใจได้ถ้าเขาไม่อินังขังขอบใดๆ หลายครั้งเข้าเราก็เลือกเป็นฝ่ายไม่ใส่ใจกับสิ่งที่พบเห็นเสียเองง่ายกว่าขอแค่เรายืนด้วยหัวใจก็พอ แต่พอมีคลิปหนังสั้นเทิดพระเกียรตินี้เข้ามา เหมือนกับว่า มีใครสักคนลุกขึ้นมาบอกดังๆ ในสิ่งที่เราไม่กล้าพูด

ในขณะที่หลายคนร้องไห้ผ่านโซเชียลหลังจากดูคลิปหนังสั้นเทิดพระเกียรตินี้จบ ไม่ว่าจะร้องไห้ด้วยความละอายแก่ใจ…ซาบซึ่งใจ… หรือร้องเพราะสงสารพ่อจับหัวใจ ที่ต้องเหนื่อยยากทาอะไรเพื่อลูกหลายล้านคนมากมาย แต่ลูกนั้นกลับ “ไม่เคยใส่ใจ” สิ่งเหล่านั้น

เราร้องไห้ ก็ยังมีวันที่น้ำตาของเราหยุดไหล…
แต่ “หยาดเหงื่อของพ่อ” ดูราวกับ “ไม่มีวันแห้ง” ไปจากพระพักตร์และพระขนองของพ่อเลย
เพราะที่ผ่านมา 7 ทศวรรษ พ่อไม่เคยหยุดพัก…

วันนี้ พ่อได้พักแล้ว…

หากถามว่า “สายเกินไปไหม…?” ที่บางคนเพิ่งจะตั้งคำถาม และค้นหาคำตอบ
หาก “ความรัก” เป็นสิ่งที่ไม่สามารถสูญสลายไปโดยง่ายไม่ขึ้นอยู่กับเวลา
และหาก “ความศรัทธา” คือ “ความนิรันดร์” ย่อมไม่มีคาว่าสายเกินไป

อย่างที่เราเชื่อด้วยหัวใจว่าจากวันนี้ลูกหลานคนไทย จะไม่หยุดยืนแค่เพียงเพราะพัก…แต่เพราะคือความจงรักภักดี

Praew Recommend

keyboard_arrow_up