Malta

หลงมนตร์เสน่ห์ Malta ประเทศไซต์มินิที่มีเพียงเกาะ การันตีอากาศดีที่สุดในโลก (ตอนที่ 2)

Malta
Malta
ฉันได้ยินชื่อมอลตา (Malta) มาระยะหนึ่งแล้ว รู้สึกอยากไปเยือนสักครั้งเพื่อเติมความทรงจำให้ชีวิต และฉันก็ดั้นด้นไปถึงจนได้…

มอลตาเป็นประเทศเล็กๆ ในทวีปยุโรปที่คนไทยส่วนใหญ่อาจจะยังไม่ใคร่รู้จัก เป็นประเทศที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพราะเป็นเพียงเกาะเล็กๆ ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่ได้รับการจัดอันดับว่า เป็นประเทศที่อากาศดีที่สุดในโลก ถือเป็นไข่มุกของทะเลสีครามแห่งทวีปยุโรป โดยประกอบด้วยเกาะหลักเพียง 3 เกาะ คือ มอลตา (Malta) โกโซ (Gozo) และเคมนูนา (Kemnuna)

Malta
มหาวิหารมาดอนนา

หลังจากเดินชมเมืองหลวงวัลเลตตา (Valletta) ซึ่งถือเป็นเมืองหลวงที่เล็กที่สุดในโลกไปทั่วเมือง รวมถึงยังได้รู้ประวัติเรื่องราวเกี่ยวกับเมืองนี้กันไปเรียบร้อยเมื่อตอนที่ 1 (ย้อนอ่านได้ที่: หลงมนตร์เสน่ห์ Malta ประเทศไซต์มินิที่มีเพียงเกาะ การันตีอากาศดีที่สุดในโลก (ตอนที่ 1)) นาทีนี้ก็ไปช็อป ชิม ชิล ดูของกันหน่อย เพราะเงินในกระเป๋าสั่นรัวๆ แล้ว-ว-ว

ช็อป ชิม และชิล กันที่ Sliema

สำหรับเมืองสลีมา (Sliema) ตั้งอยู่ตรงเวิ้งอ่าวบูลลูตา ซึ่งเป็นเวิ้งอ่าวที่เว้าลึกเข้ามาในแผ่นดิน โดยมีโบสถ์อาวร์เลดี้ออฟเมาท์คาร์เมล (Our Lady of Mount Carmel) เป็นสัญลักษณ์ ถือเป็นย่านธุรกิจของมอลตา เป็นศูนย์รวมของการค้า แหล่งช็อปปิ้ง ร้านอาหาร และคาเฟ่ รวมทั้งเป็นเขตที่พักที่ประกอบด้วยโรงแรมหลากหลายรูปแบบ จึงเป็นศูนย์รวมของนักท่องเที่ยว เนื่องจากในเขตเมืองหลวงไม่มีโรงแรม

ถนนสายหลักของเมืองคือ ทริค อิท-ทอร์ริ (Triq It-Torri) เลียบทะเลเป็นระยะทางหลายกิโลเมตร กิจกรรมที่นักท่องเที่ยวชื่นชอบมากคือ การเดินรอบเกาะ ตลอดสองข้างทางเต็มไปด้วยร้านอาหาร บาร์ คาเฟ่ สนามเด็กเล่น และสวนสาธารณะ ชาวมอลตาจึงมีวิถีชีวิตที่น่าอิจฉาเป็นอย่างยิ่ง เพียงก้าวขาออกจากบ้านไม่กี่ก้าวก็พบกับทะเลน้ำใสและสะอาดมาก ฉันทึ่งกับระบบการจัดการของที่นี่ ทั้งที่เวิ้งอ่าวเกือบทั้งหมดมีเรือยอช์ตนับพันลำเข้าจอด แต่กลับไม่มีมลพิษทางน้ำแต่อย่างใด

แม้ความเจริญคืบคลานเข้ามามากเพียงใด แต่ฉันยังคงพบเห็นวิถีชีวิตเดิมๆ ของที่นี่ โดยคนรุ่นเก่ายังคงออกเรือหาปลาด้วยเรือขนาดเล็ก แต่ละลำทาสีสันสวยงามสะท้อนในผืนน้ำยามเช้า ภาพที่คุ้นชินของที่นี่คือ หลังเลิกงานชาวมอลตาพากันออกมาเดินเล่นบนชายหาด และมีสาวๆ หุ่นดีใส่บิกินี่นอนอวดโฉมอย่างไม่แคร์สายตาใคร

ความโดดเด่นอีกอย่างหนึ่งของเมืองสลีมาคือ นักท่องเที่ยวนิยมมากินดื่ม ใช้ชีวิตค่ำคืนกันสุดเหวี่ยงกันที่วัลเลตตาวอเตอร์ฟร้อนท์ (Valletta Waterfront) ซึ่งเป็นเวิ้งอ่าวที่รายล้อมด้วยร้านอาหารและคาเฟ่มากมาย เพราะเมืองนี้เป็นเมืองท่าสำคัญ นอกจากนี้วิวมุมสูงของที่นี่ยังงดงามมาก เนื่องจากมีเกาะเล็กๆ รายล้อมท่ามกลางน้ำทะเลสีน้ำเงิน

Malta
มองจากอ่าวเห็นอาคารเก่าของกรุงวัลเลตตา

กิจกรรมยอดนิยมของที่นี่คือ การล่องเรือยอช์ต จุดจอดเรือยอช์ตที่สำคัญมี 3 จุด คือ สลีมาครีก (Sliema Creek), ลาซาเรตตาครีก (Lazaretta Creek) และมซิดาครีก (Msida Creek) รวมทั้งเป็นจุดให้บริการล่องเรือยอช์ตอีกด้วย นั่นแปลว่า ที่นี่เป็นที่รวมของเศรษฐีมากมายเช่นกัน ทำให้ค่าครองชีพที่มอลตาค่อนข้างแพง สำหรับค่าล่องเรือมีราคาไม่แพง มีอาหารเที่ยงให้มื้อหนึ่ง โดยเรือจะล่องไปรอบประเทศมอลตา หรือใครสนใจล่องเรือต่อไปยังเกาะซิซิลี ประเทศอิตาลี ก็ได้ ส่วนคนที่สนใจการดำน้ำ ความงามของท้องทะเลลึกที่นี่ก็ไม่แพ้ที่ใดในโลก มีบริการสอนดำน้ำลึกและบริการพาไปดำน้ำลึก ในช่วงหน้าร้อนที่นี่จะเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวยุโรป ซึ่งนิยมมาอาบแดดด้วยระยะทางที่ไม่ไกลเกินไป และอากาศอบอุ่นกว่าประเทศอื่นในยุโรป

สำหรับผู้ที่หลงใหลในการถ่ายภาพ จุดที่ถ่ายภาพสวยที่สุดที่ไม่ควรพลาดคือ เวิ้งอ่าวสลีมาครีก ซึ่งเป็นจุดจอดเรือยอช์ตสำคัญ โดยเป็นจุดที่สามารถถ่ายภาพกรุงวัลเลตตาได้แบบพานอรามา มีมหาวิหารเซนต์พอล แองกลิกัน ที่โดดเด่นมากที่สุด นอกจากนี้ยังเป็นจุดให้บริการล่องเรือชมเกาะมอลตาในรูปแบบ One Day Tour อีกด้วย

Malta
หาดเซนต์จอร์จ

ส่วนนักท่องเที่ยวที่ประสงค์จะมาเล่นน้ำทะเลหรืออาบแดด ต้องไม่พลาดชายหาดเล็ก ๆ ที่คุณภาพคับแก้ว คือ ชายหาดเซนต์จอร์จ (St. George Beach) ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณเซนต์จูเลียน (St. Julian) เป็นชายหาดที่มีระยะไม่กี่ร้อยเมตร แต่เต็มไปด้วยเม็ดทรายสีน้ำตาลสวยงาม น้ำทะเลใสสะอาด รอบหาดเต็มไปด้วยร้านอาหารและคาเฟ่ มีกิจกรรมทางน้ำมากมายให้สนุกสนาน และเขตนี้ยังเป็นย่านศูนย์การค้าและกาสิโนอีกด้วย

ย้อนเวลาหาอดีตที่เมืองเมดินา

วันรุ่งขึ้นฉันมีโปรแกรมไปชมเมืองเมดินา (Mdina) ซึ่งเป็นเมืองเก่ายุคกรีกโบราณ เคยเป็นเมืองหลวงเก่าของมอลตาในสมัยกลาง (Medieval Period) ตัวเมืองมีกำแพงล้อมรอบอย่างในอดีตและมีประชากรเพียง 300 คนเท่านั้น อยู่ทางเหนือของประเทศโดยนั่งรถบัสไปลงราบัต (ชาวมอลตาเรียกเมืองเมดินาว่า ราบัต) ใช้เวลาเดินทางราว 1 ชั่วโมง ตลอดเส้นทางผ่านภูมิประเทศที่หลากหลาย นอกเมืองมีทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ มองเห็นดอกป๊อปปี้สีแดงบานสุดหูสุดตา เป็นภาพที่งดงามมาก

Malta

รถบัสจอดด้านหน้าที่มีรถม้าจอดเรียงรายคอยให้บริการรถม้าชมเมือง ถือว่าได้บรรยากาศเมื่อหลายร้อยปีก่อน ทันทีที่ลอดซุ้มประตูเมืองเข้าไป ก็พบกับเมืองที่มีลักษณะเป็นเมืองเก่าโบราณที่มีสีเหลืองเป็นหลัก การเข้าชมฟรี ตึกเก่าเหล่านี้มีอายุนับร้อยปีขึ้น โดยยังคงใช้เป็นที่พักอาศัยของผู้คน จึงมีคำเตือนเรื่องมารยาทในการเดินชม

ภายในมีถนนที่ลดเลี้ยววกวน แต่เชื่อมกันหมด ถือเป็นเสน่ห์ของเมืองเมดินา ภายในประกอบด้วยโบสถ์คริสต์มากมาย โดยมหาวิหารเซนต์พอลเป็นโบสถ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด และต้องเสียค่าเข้าชม ติดกันคือพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ (National Museum of National History) มีคาเฟ่ ร้านอาหาร และร้านขายของที่ระลึก

ฉันเดินชมเมืองที่ส่วนใหญ่มีแต่ตึกเก่าสีเหลืองจนเย็นย่ำ แล้วจึงเดินทางกลับที่พักด้วยความอิ่มเอมใจ เป็นการจบโปรแกรมที่ประเทศเล็ก ๆ แต่น่ารัก ซึ่งจะอยู่ในความทรงจำของฉันไปอีกนาน

Malta

Tips

  • จากสนามบินนานาชาติมอลตา ใช้บริการรถบัสสาย XII เข้าเมืองโดยรถจะวิ่งผ่านเขตสลีมาจนถึงกรุงวัลเลตตาในราคา 8 ยูโร ใช้เวลา 1 ชั่วโมง
  • ที่พัก ที่นี่มีที่พักทุกรูปแบบในย่านสลีมา ตอบสนองนักท่องเที่ยวทุกกลุ่ม สามารถจองได้ที่ www.booking.com และ www.hostelworld.com
  • เนื่องจากภูมิศาสตร์เป็นเกาะ และประเทศมีขนาดเล็ก ที่นี่มีบริการรถเมล์ 2 ยูโรในเวลา 2 ชั่วโมง สามารถขึ้นลงกี่เที่ยวก็ได้ และยังสามารถใช้บริการเรือเฟอร์รี่ เชื่อมระหว่างกรุงวัลเลตตากับสลีมาและถือเป็นการล่องเรือชมอ่าวมอลตาได้ด้วย
  • สำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย สามารถใช้บริการทัวร์ได้ ซึ่งทัวร์ที่น่าสนใจมากที่สุดคือ การชมเกาะโกโซ (Gozo)

ที่มา: นิตยสารแพรว ปักษ์ 891 เรื่องและภาพ black beauty

Praew Recommend

keyboard_arrow_up