แก้ว - ชยันต์

ผ่าฟันเฟืองนักคิด คนบ้านนอกพันธุ์หมาบ้า! แก้ว – ชยันต์ จันทวงศาทร

แก้ว - ชยันต์
แก้ว - ชยันต์

“ทำงานไม่ใช่ทำแค่ให้เสร็จ แต่ต้องทำให้สำเร็จ” ประโยคสั้นๆ แต่ทรงพลังทุกครั้งที่ได้ยินตลอดการสัมภาษณ์ Exclusive Talk วันนี้ เราไม่ได้มาพูดคุยกับดาราดัง แต่ผู้ชายคนนี้คือคนดังที่อยู่เบื้องหลังรายการวาไรตี้ที่สร้างปรากฏการณ์ไว้มากมายอย่าง I Can See Your Voice และ The Mask Singer “แก้ว – ชยันต์ จันทวงศาทร”

กลไกของการทำงานให้สำเร็จ ไม่ได้อยู่ที่ว่าคุณเจ๋งแค่ไหนหรือเจ๋งกว่าใคร ความสำเร็จทุกอย่างจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทุกส่วนที่รับผิดชอบต้องเจ๋งพอๆ กันด้วย หัวเรือใหญ่อย่าง แก้ว – ชยันต์ ที่ต้องคุมงานด้านการผลิตและบริหารศิลปินจึงเป็นทั้งนักคิดและนักทำ ซึ่งต้องบอกเลยว่าหากใครได้อ่านบทสัมภาษณ์นี้จนจบ จะเข้าใจว่าเพราะอะไรรายการที่ดังที่สุดในประเทศไทยอย่าง The Mask Singer ถึงประสบความสำเร็จชนะเรตติ้งทุกช่องได้มากขนาดนี้

แก้ว - ชยันต์
แก้ว – ชยันต์ จันทวงศาทร

เริ่มต้นการสนทนา คำถามแรกที่อยากรู้เลยคือ พี่แก้วทำงานที่นี่มานานแค่ไหนแล้ว

พี่แก้ว – ชยันต์ : ผมอยู่ที่นี่มา 20 กว่าปีแล้ว และก็มีช่วงที่เว้นวรรคลาออกไป 1 ปี ตอนนั้นไปอยู่ซิดนีย์ และก็กลับมาทำงานที่นี่ต่อ

ยุคแรกที่พี่อยู่ ตอนนั้นเริ่มทำรายการอะไรเป็นอันแรก

พี่แก้ว – ชยันต์ : รายการแรกเลยคือ ชมรมขนหัวลุกครับ เคยดูไหม (ร้องเพลงประจำรายการให้ฟังอย่างอารมณ์ดีอีก) จากนั้นก็มาทำกามเทพผิดคิว ตอนเที่ยงๆ ช่อง 7

แก้ว - ชยันต์

รายการขนหัวลุก พี่เอาไอเดียมาจากไหน

พี่แก้ว – ชยันต์ : ไม่มีหรอกครับ ตอนนั้นที่ทำคือพี่อะกลัวผีมาก เรียกว่าโคตรกลัวเลยดีกว่า ทรมานมาก กลัวขี้หดเลย จำได้ว่าสมัยก่อนถ่ายรายการแต่ในสตูดิโอ เราก็มีทำแบบผีแกล้ง ของตก ทำคนตกใจนั่นนี่ สนุกสิแกล้งคน แต่ทีนี้พี่โปรดิวเซอร์ดันเบื่อ อยากจะเอ๊าต์ดอร์ ก็เลยไปที่วัดโพธิ์ทอง จังหวัดอ่างทอง คือเทปนั้นพี่จำแม่นเลย เป็นครั้งแรกที่ไปจัดรายการที่นั่น ไปเล่นผีถ้วยแก้วกันที่วัด และตอนนั้นเรายังเด็ก เป็นครีเอทีฟอยู่ เจอพี่โปรดิวเซอร์สั่งว่า

“มึงไปเล่นผีถ้วยแก้วข้างเมรุ!!!”  

เราก็…ยังไงอะพี่

“มึงคิดว่ามีไหม เขาเพิ่งเผาศพเสร็จ!!!”

(หน้าตาแบบกลัวสุดขีด) แล้วให้ผมไปทำไมอะพี่…

“มึงไปลองเล่นดูว่าเข้าไหม”

ก็ไปทำ ก็ไม่มีอะไร แต่สิ่งที่มันฮือฮาคือ ถ้าไปถามดาราคนไหนที่มาเทปนั้นก็ต้องจำได้ พี่กิ๊ก ซูโม่กิ๊ก พี่ธงชัย ประสงค์สันติ พี่ตั๊ก – มยุรา และแขกรับเชิญสี่คนที่มาวันนั้นจำได้หมด นั่งเล่นผีถ้วยแก้วกัน ทีแรกเราก็เบื่อๆ เพราะชาวบ้านมาดูกันเยอะ บรรยากาศไม่ได้เลย จนกระทั่งเกือบห้าทุ่มเที่ยงคืนละ เขาก็เริ่มกลับกัน คือไปดูในเทปเหมือนเซตมาก เราไปเล่นกันใต้ต้นโพธิ์ ลมไม่มีเลย แต่ต้นโพธิ์สั่นมาก พี่ก็บอกโปรดิวเซอร์ว่า

“พี่ๆ ต้นโพธิ์สั่น” เขาก็บอก

“เฮ้ย ใครทำเอฟเฟ็กต์หรือเปล่า”

“ เอฟเฟ็กต์ไรอะพี่ ดูดิ ดู-ว-ว-ว-ว”

และหลังจากนั้นเขาก็เริ่มเข้ามา เราก็ถ่ายกันจนหนำใจแล้ว เกือบตีหนึ่งได้ฟุตเทจแล้ว ก็จะเลิกกอง แต่เขาไม่ออก เลยถามเขาว่าต้องการอะไร เขาสะกดมาว่าเขาจะฆ่าคน และเทปนั้นก็ไม่ได้ออกอากาศทันที มาออกหลังจากนั้นผ่านไปสี่ปีแล้ว หลังจากนั้นพี่ก็เข้าไปหาพี่กิ๊กเลย บอกแกว่าไม่ทำแล้วได้ไหม ทำอะไรก็ได้ แต่ไม่ทำรายการนี้แล้ว กลัวจริงๆ (หัวเราะ)

แก้ว - ชยันต์

แล้วแววของการเป็นผู้ดูแลคอนเท้นต์ของเวิร์คพอยท์เริ่มเข้าตาเมื่อไหร่

พี่แก้ว – ชยันต์ : พี่ก็ทำรายการเยอะแยะมาเรื่อยๆ แต่จุดเปลี่ยนคือสมัยที่ช่อง 9 มีคุณมิ่งขวัญเป็น ผอ. ตอนนั้นเขามอบหมายให้เวิร์คพอยท์ทำรายการเกี่ยวกับวัฒนธรรมไทย และพี่ได้รับมอบหมายให้เป็นคนทำรายการคุณพระช่วย ซึ่งโคตรจะไม่ถนัดเลย เพราะปกติจะทำแต่รายการเกมโชว์ วาไรตี้ อันนี้คือหนักใจมาก แต่ก็ทำไป พอเสร็จปุ๊บฟีดแบ็กดีมาก หลังจากนั้นก็ได้ทำรายการชิงช้าสวรรค์ ก็เป็นจุดที่ทำให้เราโอเค อย่างที่บอกช่วงแรกคือของพี่พอเป็นครีเอทีฟก็ได้เป็นโปรดิวเซอร์ต่อ มาดูรายการเกมจารชน ยุคพี่ตั๊ก – มยุรา, เสนาหอย และเอิร์ท – ศัลย์ เป็นพิธีกร และรายการนี้ไปได้รางวัล Asian Television Awards ที่สิงคโปร์ เป็นรางวัลแรกของเวิร์คพอยท์ด้วย จากนั้นพี่ลาออกไปอยู่ซิดนีย์ปีนึง แล้วก็กลับมาทำงานที่นี่ต่อ ก็มาทำคุณพระช่วยและชิงช้าสวรรค์นี่แหละครับ

ส่วนใหญ่เวิร์คพอยท์จะผลิตคอนเท้นต์เอง จะมีซื้อบ้างก็ไม่ได้เยอะ ทำไมหลังๆ ที่เลือกหยิบฟอร์แมตรายการของเกาหลีมาเล่น

พี่แก้ว – ชยันต์ : พี่ว่าน่าจะเป็นเพราะวิสัยทัศน์ของคุณชลากรณ์กับทีมบริหารด้วย เวลาเราไปดูงาน ฟอร์แมตในโลกก็จะมีทั้งยุโรป อเมริกา แต่เราไม่เคยโฟกัสแถบบ้านเราเลย ซึ่งจริงๆ อย่างญี่ปุ่นคนก็ชอบเยอะนะ แต่ในส่วนเกาหลีเรายังไม่เคยโฟกัสมันมาก ต้องยกเครดิตให้พี่กรณ์เลย คือรายการที่เราเอาเข้ามาอย่าง Let Me in Thailand คือเราซื้อ Finished Program มาฉายให้ดูก่อน ตอนนั้นก็คิดภาพโปรดักชั่นออกมา คือแล้วยังไงวะ…ถ่ายรายการกี่ปีเนี่ยกว่าจะออกมาเป็นเทปนึง สรุปแล้ว 1 ปีเลย เพราะต้องแบ่งเป็น 3 ช่วง คือช่วงแรกแข่งกันว่าใครได้ไป ต่อมาก็คือไปผ่าตัด แล้วสองเดือนพักฟื้นอีก และครั้งสุดท้ายถ่ายในสตูดิโอตอนเผยผลการผ่าตัด คือนานมาก-ก-ก-ก-ก-ก

The Mask Singer

จากนั้นก็มีทั้ง I Can See Your Voice และมาปังสุดขีดคือ The Mask Singer

พี่แก้ว – ชยันต์ : คือมันเริ่มจากการที่เวลาเราเอาฟอร์แมตอะไรมา เหมือนได้สูตรอาหารมา และเชฟแต่ละคนคุกกิ้งไม่เหมือนกัน มาปรุงยังไงให้ถูกปากคนไทยที่สุด จริงๆ 2 รายการนี้เราซื้อมาพร้อมกันนะ และใจพี่ตอนเห็นฟอร์แมตของ The Mask Singer คือคิดแล้วว่าดังแน่ สนุกแน่ มั่นใจมาก อย่างน้อยตอนทำงานแค่ประชุมคิดว่าจะทำหน้ากากอะไรก็สนุกแล้ว แต่เราทำ I Can See Your Voice ก่อน ก็หาแก่นจนเจอว่าจะทำยังไงให้สนุก เพราะถ้าทำแบบเกาหลีเป๊ะเลย พี่ว่ามันอาจจะไม่เข้ากับคนไทย ไม่สนุกแน่ๆ

แล้ว The Mask Singer ช่วงแรกหาแก่นเจอเลยหรือเปล่า

พี่แก้ว – ชยันต์ : เทปแรกเราก็ยังรู้สึกว่ามันยังไม่สุดนะตอนถ่าย จำได้ว่าเป็นคู่จ๊ะจ๋ากับน้องแปม ไกอา พี่ก็หันไปคุยกับโปรดิวเซอร์ (คุณดาว ดาราราย) ว่าจะเอายังไงดี ทำไม่สนุก เลยเบรกแป๊บนึง เข้าไปคุยบรี๊ฟกันใหม่ เลยเป็นที่มาของการไปตีแก่น ก็คือให้เขาสมมุติ จินตนาการเป็นใครก็ได้ เล่นให้เต็มที่เลย กรรมการและคนดูเขาไม่รู้นี่ว่าเราเป็นใคร ผลลัพธ์ที่ออกมามันฮามาก พี่ก็บอกน้องดาวโปรดิวเซอร์เลย ไชโย เราเจอแล้ว โอเคน้อง ทำกันต่อไป และตรงนี้แหละมันคือความสนุกของรายการ

แก้ว - ชยันต์

นอกจากเรื่องการตีโจทย์ให้แตกจนรายการสนุกแล้ว จริงๆ ช่วงเริ่มต้นเจองานยากอะไรอีกบ้างไหม

พี่แก้ว – ชยันต์ : ตอนแรกที่เราเริ่มคิดทำรายการนี้ พี่เองเป็นคนโทร.หานักร้อง อย่างกรุ๊ปเอ พี่โทร.ชวนเองหมดเลย แต่ไม่มีใครมาเลย (หัวเราะ) คือพี่เข้าใจเขานะ ที่เขาไม่มาตอนแรกเพราะทุกคนที่ฟังก็จะงง เป็นนักร้องอยู่แล้วจะให้มาแข่งร้องเพลง และมีตกรอบด้วย ใส่หน้ากากด้วย แต่ทั้งหมดคือตัวพี่เอง พี่มั่นใจนะว่ามันต้องดังแน่ๆ พยายามบอกว่าเดี๋ยวมันเป็นแบบนี้นะ มันอาจจะดูตลก แต่เรื่องการเข้ารอบตกรอบไม่ใช่สาระสำคัญ ก็บอกไปว่า ผมจะทำหน้ากากสวยกว่าต้นฉบับแน่ๆ เพราะทำหัวจรดเท้าเลย และมันจะสนุกและตลกมาก

กรรมการก็เป็นสีสันของรายการนี้ด้วย พี่คัดเลือกยังไง

พี่แก้ว – ชยันต์ : จุดประสงค์ไม่มีอะไรมาก อย่างแรกต้องมีองค์ความรู้ด้านเพลงและรู้จักนักร้อง นักแสดงเยอะๆ อย่างป๋าเต็ด ครูอ้วน พี่หอย พี่หนึ่ง พี่ตั๊ก ก็จะรู้จักนักร้องยุค 80 – 90 นุ้ยกับซาร่าก็น่าจะรู้จักนักร้องในยุคนี้ จึงเป็นส่วนผสมที่ลงตัว

แก้ว - ชยันต์

อย่างซาร่า AF ก็เหมือนแจ้งเกิดอีกครั้งในรายการนี้เลย

พี่แก้ว – ชยันต์ : พี่ว่าเป็นเคมีที่ลงตัวกันมากกว่า ลองเปลี่ยนชุดไหนมา สรุปก็ต้องเป็นชุดดรีมทีมที่ทุกคนอยากได้นั่นแหละ อย่างที่ครูอ้วนพูดยาวๆ แล้วมีพี่หอยมาช่วยขัดอะไรแบบนี้ พี่ว่ากรรมการส่วนผสมเขาพอดีกัน แต่กว่าจะกลมกล่อมก็ต้องใช้เวลานิดนึง คือต้องช่วยกันบรี๊ฟและบอกทิศทางกันไป

แล้วพิธีกรล่ะ ทำไมต้องเป็นกันต์ กันตถาวร

พี่แก้ว – ชยันต์ : คือได้ยินชื่อมานานแล้ว เพราะเป็นดารานักแสดง พอเจอครั้งแรกคือมึงไม่หล่อเลยอะ (หัวเราะ) อันนี้นึกในใจนะว่า เออ นี่พระเอกจริงเหรอเนี่ย มึงตี๋มาก พี่ก็คุยกับเขา และกันต์เขาบอกเจตนาชัดเจนว่าอยากเป็นพิธีกรในขณะที่ยังเป็นนักแสดงอยู่ด้วย แต่พิธีกรมันไม่ง่ายนะ มันไม่เหมือนละครที่มีผู้กำกับคอยบอกแล้วเราเล่นไปตามบท แต่นี่คือบทบาทที่เราต้องแสดงตัวตนออกมาให้เข้ากับความเป็นธรรมชาติของรายการ คือมันจะต้องเบลนด์อินเข้าไป แล้วต้องคุมทุกสิ่งอย่าง จริงๆ ตอนแรกว่าจะลองเทสต์กันต์ดูก่อน ให้ไปลองในรายการบิ๊กเบนโชว์ ก็เริ่มเห็นอะไรในตัวเขา เลยให้ลองทำรายการ Bao Young Blood ต่อ ก็เริ่มเห็นหน่วยก้านมากขึ้น หลังจากนั้นเลยให้ไปทำ I Can See Your Voice พอถึง The Mask Singer ก็ไม่ลังเลที่จะเลือกกันต์ แต่ก็ต้องคุยว่าดีๆ นะ มึงยืนคนเดียวแล้วนะกันต์

 

 

แก้ว – ชยันต์

เทปที่เปิดหน้ากากอีกาดำ แต่ไม่เปิดหน้ากากทุเรียน โดนถล่มยับมาก เขามาพูดอะไรกับพี่บ้างไหม

พี่แก้ว – ชยันต์ : ไม่นะ…พี่ว่ากันต์เป็นเด็กแอตติจูดดี เขารับรู้ ยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ก็ทำไปแล้ว เรายอมรับ ก็จบไป พี่ว่าตัวกันต์เขาทำงานตั้งใจและยอมรับข้อผิดพลาด ขอโทษทุกคนแม้กระทั่งแบ็กสเตจ และกันต์เป็นคนสู้มาก น้องไปเช็กเทปในห้องตัดตลอด เพื่อศึกษาว่า อ้อ…ต้องปรับอะไรตรงไหน พี่ว่าความสำเร็จของกันต์เกิดจากความตั้งใจและความมานะของเขา

ทุกวันนี้รายการ The Mask Singer เนื้อหอมขึ้นไหม

พี่แก้ว – ชยันต์ : ก็หน้ามือเป็นหลังมืออะครับ (หัวเราะ) มีทั้งดารา ศิลปิน นักร้องก็โทร.มา ก็เยอะจริงๆ หลากหลายวงการด้วย แม้กระทั่งคนที่เคยโทร.ไปแล้วเมื่อซีซั่นแรก พอเห็นภาพแล้วก็มีโทร.มาเหมือนกัน แต่พี่เข้าใจเขานะ เพราะตอนนั้นก็ไม่มีใครเห็นภาพหรอก พี่เข้าใจทุกคนที่ปฏิเสธนะ ในซีซั่นแรกเลยต้องเอาคนที่รู้จักกันมาช่วยหน่อย คือเขาก็มาให้ อย่างทอม เอ๊ะ พี่สุเมธ และเราก็เข้าใจคนดู อย่างแปม ไกอา หรืออาร์ม – กรกันต์ คือก็งง เปิดมาใครวะ ไม่รู้จัก แต่เราจะเอาใครล่ะ ตอนนั้นไม่มีใครมาให้ (หัวเราะ)

The Mask Singer

ได้ยินมาว่าบริษัทนี้ทำงานกันหนักมากด้วย แต่ทุกคนก็ร่วมแรงร่วมใจกันมาก

พี่แก้ว – ชยันต์ : คือเวลาพี่ทำงานอะไรก็ตาม จะต้องรักษาบรรยากาศในการทำงาน และรายการที่เราทำมันวาไรตี้ สนุกสนาน ดังนั้นบรรยากาศต้องสนุกก่อน ทุกคนมาด้วยความเต็มร้อย ไม่มีเรื่องทะเลาะกันหรือห่วงอะไรที่บ้าน คือเรื่องเหล่านี้คือบรรยากาศในการทำงาน ก็พยายามเข้าใจทีมด้วย เวลาพี่ลงไปดูเองก็จะพยายามสร้างบรรยากาศตรงนี้ ถ้าในสตูทำงานกันสนุก เดี๋ยวทุกอย่างก็จะดีเอง มันสำคัญที่ต้นทางนี่แหละ

จริงๆ เวิร์คพอยท์เราทำงานหนักอยู่แล้ว คือเราไม่ได้ทำงานแค่ 100 แต่เราทำ 150 ของเราจะทำงานกันแบบ Impossible Is Possible มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ แต่เราจะทำให้ได้ และทุกคนช่วยกันแก้ไขในตำแหน่งของตัวเอง ทำงานต้องทำแบบฟันเฟือง และฟันเฟืองแต่ละตัวก็ต้องแข็งแรงด้วย อย่างแม่บ้านก็สำคัญ เขายังเต็มใจทำงานมาเสิร์ฟโจ๊กตอนตีสอง เพราะทุกคนหิวอยู่ คือทุกคนรู้หน้าที่ของตัวเองว่าทำอะไร รู้ว่าพอคนนี้ทำอันนี้เสร็จแล้ว เดี๋ยวคนนี้ต้องรันงานต่อ ทุกอย่างมันต้องเดินไปด้วยกันหมด และคิดทุกครั้งเวลาไปพูดกับน้องๆ ก็จะบอกว่า จงรักษาบรรยากาศการทำงานไว้ให้ดีๆ

อย่างรายการ The Mask Singer จริงๆ ต้องยกเครดิตให้โปรดิวเซอร์ที่ชื่อน้องดาว ดาราราย เป็นลูกน้องพี่ และทำงานด้วยกันมา 6 – 7 ปีแล้ว ตั้งแต่ Thailand’s Got Talent คือเรากำหนดทิศทางแล้วว่าให้เขาไปทำงานอะไร ส่วนเรื่องรายละเอียดต่างๆ ต้องยกเครดิตให้น้องคนนี้ที่รับไปเต็มๆ เลย

แก้ว – ชยันต์

ดีเอ็นเอของคนที่นี่เป็นแบบไหน

พี่แก้ว – ชยันต์ : สมัยที่พี่ยังเป็นครีเอทีฟ บริษัทเราไปเอ๊าติ้งกัน ตอนนั้นมีพนักงานไม่เกินร้อยคน ไปเที่ยวทะเลกัน ก็เล่นกิจกรรมรอบกองไฟ พี่จิก – ประภาสก็พูดบางอย่างที่พี่จำได้จนวันนี้เลย แกบอกว่า เวิร์คพอยท์คือหมาบ้าและคนบ้านนอก หมาบ้าคือกัดไม่ปล่อย ไม่ใช่แค่ทำงานให้เสร็จ แต่ต้องทำงานให้สำเร็จ สองคือ คนบ้านนอก เพราะตั้งแต่เจ้าของบริษัทยันพนักงานคือคนบ้านนอกทั้งนั้น และคนบ้านนอกคือจริงใจ มีอะไรซัดกันไปเลยในงาน เอาให้จบ ไม่ต้องมาคอยนินทาลับหลัง ว่ากันไปเลย พี่เลยรู้สึกว่าเราเป็นสองข้อนี้แหละ เป็นแบบนี้มาตลอด และตอนทำงานจะช่วยกันแก้ปัญหา ทุกคนจะช่วยกันแชร์ไอเดีย เพราะเราจะฟัง คือใครไอเดียดีก็จะเออ เห้ย! ดี ใช่ว่ะ และเราก็มาช่วยกัน เราต้องไม่มีทิฐิต่อกันมากเกินไป ไม่ใช่ว่าพอเป็นโปรดิวเซอร์ใหญ่แล้วจะไม่ฟังใคร ที่นี่ไม่ใช่ครับ ที่นี่สู้กันมาก เราสู้กับงาน แข่งกับเวลา และทำงานให้สำเร็จ ไม่ใช่แค่เสร็จ

ส่วนตัวพี่แก้วเป็นคนอารมณ์ดีไหม เพราะงานที่ทำคือให้ความสุขคนดู

พี่แก้ว – ชยันต์ : อืม…มั้ง-ง-ง-ง-ง (หัวเราะ) ก็คงมีส่วน เหมือนรู้สึกว่าต้องมาจากตัวตนเราก่อน คิดให้สนุกและทันต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคม เพราะเรื่องพวกนี้ถูกฝึกมาตั้งแต่เด็กแล้ว พี่เรียกว่ามุกฟ้าประทานนะ อย่างตอนทำคอนเสิร์ตคุณพระช่วยสำแดงสด อยู่ๆ โปเกมอนก็ดังขึ้นมา เสร็จเลยทีนี้ เข้าไปพูดในคอนเสิร์ต ฮาเลย เปลี่ยนคำพูดใหม่หมด “กรุณาปิดเครื่องมือสื่อสารและห้ามจับโปเกมอนที่นี่” คนดูก็ขำ คือมุกแบบนี้ได้ผลเสมอ

แก้ว – ชยันต์

คิดจะกลับไปทำรายการผีอีกหรือเปล่า

พี่แก้ว – ชยันต์ : ไม่เอาแล้ว สารภาพเลยครับ ตอนทำคนอวดผี พี่ดูแค่ 4 เทป เพราะรายการใหม่เลยต้องไปดู และไม่เอาอีกแล้ว พอแล้ว พี่เป็นคนกลัวผีมาก เจอเหตุการณ์หลายอย่างมาก คนอวดผีเป็นภาคต่อจากชมรมขนหัวลุก และพี่ว่าน่ากลัวกว่านะ เพราะมีไปล่าท้าผีด้วย พี่เองก็เคยไป

และเจออะไรไหม

พี่แก้ว – ชยันต์ : เจอครับ เจอยุง เยอะมาก-ก-ก-ก-ก-ก อากาศก็ร้อนโคตร (หัวเราะ)

แล้วตอนนี้กับ The Mask Singer ซีซั่น 2 ฟีดแบ็กเป็นยังไงบ้าง

พี่แก้ว – ชยันต์ : ตอนนี้เรตติ้งก็ดีครับ เฉลี่ยอยู่ที่ 7 ถือว่าดีมากเลยละ

พอจะบอกได้ไหมว่าหน้ากากที่ออกมาร้องเพลงแล้วเป็นใคร (แกล้งถามไปงั้น)

พี่แก้ว – ชยันต์ : ไม่บอก บอกไม่ได้ เดี๋ยวเสียตังค์ครับ ขนาดเมียพี่ พี่ยังไม่บอกเลย (หัวเราะ)

แสดงว่าภรรยาถาม

พี่แก้ว – ชยันต์ : ถามสิ ลูกยังถามเลย บอกไม่ได้ครับ (ยิ้ม)

The Mask Singer

เข้มงวดแบบนี้ พี่ตากับพี่จิกว่ายังไงบ้าง

พี่แก้ว – ชยันต์ : ก็ไม่อยากรู้ (หัวเราะ) รายการนี้เป็นรายการที่ไม่มีใครอยากเข้าไปดูครับ เพราะกฎพี่เข้มมาก จนวันก่อนพี่จิกเข้าไปในสตูดิโอไม่ได้ โคตรตลกเลย (หัวเราะ) ก็ถามแกว่าใครไม่ให้พี่เข้าวะ คือการ์ดเขาไม่รู้ไง คือเข้าไปก็ต้องโดนค้นตัวเหมือนผู้ต้องหาเลย ริบโทรศัพท์ และต้องบอกชื่อไอจี เฟซบุ๊ก บัตรประชาชนมาด้วย และหันหน้าเข้ากำแพงชูมือเลย ตรวจหมด พอเรียบร้อยถึงเข้าไปได้ เข้าแล้วห้ามออกด้วยนะ ปวดฉี่ก็ต้องทน จนกว่าจะคัดแล้วเบรก คือถ้าถ่ายรายการแล้วห้ามไปไหนทั้งนั้นแหละ

และมีเรื่องตลกมาก อย่างวันที่เปิดหน้ากากทุเรียนในซีซั่นหนึ่ง พี่ลืมเอาบัตรแขวนไป การ์ดมันไม่ให้เข้า (หัวเราะ) และเราเป็นคนตั้งกฏเองด้วย แต่เขาก็ทำหน้าที่ได้ดีและทำถูกต้องแล้ว คือเราก็โทร.หาทุกคนที่อยู่ในสตู แต่เราก็สั่งให้ทีมทุกคนห้ามเอาโทรศัพท์เข้าไปอีก คือเราเป็นคนสั่งเอง เออ ไม่มีใครรับแน่นอน รออยู่ร่วม 5 นาทีกว่าจะเข้าได้ การ์ดที่คุมหน้าสตูก็เป็นเซตใหม่ เลยจำหน้ากันไม่ได้ แต่ก็เออ เขาทำงานดีแล้ว ว่าไม่ได้จริงๆ (หัวเราะ)

The Mask Singer

ปิดความลับขนาดนี้ เคยมีรั่วออกมาบ้างไหม

พี่แก้ว – ชยันต์ : มีครับ 4 – 5 คดีแล้วครับ จากในโซเชียลนี่แหละ “คนนี้แน่ๆ ค่ะ เพราะหนูนั่งดูอยู่ในสตูดิโอค่ะ” อ้าว เปิดตัวเปิดหน้างี้ ฝ่ายกฎหมายก็ต้องดำเนินการ เพราะมันเหมือนเป็นการเปิดเผยความลับทางการค้าด้วย อย่างที่บอกคือพี่เข้มงวดเรื่องนี้มาก ก่อนถ่ายพี่เรียกคนมาทั้งหมด และพี่ก็เซ็นสัญญาให้ดูเป็นคนแรกเลย แม้แต่เมียพี่ พี่ก็จะไม่บอก เราไล่ทุก process ตั้งแต่ถ่าย ตัดต่อก็ต้องล็อกห้อง มิกซ์เสียง ส่งเซ็นเซอร์ก็ต้องเห็นคนเดียว ห้ามให้ใครเห็น อย่างพี่หอยจะขับรถเข้ามา แล้วรถแกสีเหลือง ก็ต้องให้จอดที่อื่น เดี๋ยวให้คนไปรับ ผู้ติดตามยังต้องใส่หน้ากากใส่เสื้อคลุมเป็นไอ้โม่งเลย นั่งเงียบๆ พูดกับใครไม่ได้ ลำบากชีวิตจริง (หัวเราะ) แต่พี่ว่ามันเป็น key success เลยนะ

ก่อนจะจบ อยากให้พี่แก้วฝากอะไรถึงแฟนรายการหน่อย

พี่แก้ว – ชยันต์ : ฝากให้ติดตามครับ และก็มั่นใจว่าซีซั่นนี้สนุกกว่าแน่ๆ เปิดหน้ากากมาทุกคนต้องร้องว้าวครับ และจะไม่มีใครมาบอกว่า ใครว้า?

The Mask Singer

 

เรื่อง : SRIPLOI

ภาพ : วาระ สุทธิวรรณ

 

Praew Recommend

keyboard_arrow_up